วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์

หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)

 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

2.2.1 หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)

       เป็นหน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึก

ซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)

       โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับเครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน

เฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น



2.2.2 หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)

                เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว

                ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น

       internal storge หรือเป็นหน่วยเก็บข้อมูลและโปรแกรมชั่วคราว( temporary storage)
เมื่อปิดเคื่รองคอมพิวเตอร์ข้อมูลหรือโปรเเกรมทุกอย่าง ที่เก็บในแรมจะหายไป เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยง หน่วยเก็บข้อมูลประเภทนี้จึงเรียกว่า volatile ดังนั้นจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร ไว้ใช้งานในภายหลัง จึงจำเป็นจะตอ้งมีหน่วยเก็บเข้อมูลภายนอกที่เรียกว่า external storage หรือ secondary storage หรือ auxiliary storage ซึ่งสามารถจัดเก็บข้อมูลสำหรับการประมวลผลไว้ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีกระเเส ไฟฟ้าหล่อเลี้ยง( non-volatile) ก็ตาม

       กระบวนการในการเก็บข้อมูล เรียกว่า การเขียนหรือการบันทึกข้อมูล ( writing หรือ recording data)
เนื่องจากว่า อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง จะบันทึกข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆที่สามารถนำมาเร๊ยกในภายหลังได้ กระบวนการดึงข้อมูลมาใช้เรียกว่า retrieving data เเละถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจะเรียกว่า reading data เพราะอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองจะอ่านข้อมูลและถ่ายโอนไปยังหน่วยความจำหลัก เพื่อการประมวลผลต่อไป

       การใช้งานคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆ จะมีความต้องการอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป เช่น บริษัทประกันและธนาคาร อาจมีความต้องการอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้จำนวนมาก ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจต้องการอุปกรณ์ ในการจัดเก็บข้อมูลไม่มากนัก

หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)


อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

 จานแม่เหล็ก ( magnetic disk storage)


      จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชื่อถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็ก เช่น ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk )

ฟลอปปี้ดิสก์ ( floppy disks)

floppy disk

       ฟลอปปี้ดิสก์ นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ดิสก์เกตต์ ( diskettes) หรือดิสก์ ( disks) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่สามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 นิ้ว และ 5.25 นิ้ว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้วแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies) เพราะดิสก์มีลักษณะที่บางและยืดหยุ่น แต่ปัจจุบันลักษณะของดิสก์ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดิสก์ที่หุ้มด้วยแผ่นพลาสติกแข็ง แต่เนื้อดิสก์ภายในยังคงอ่อนเหมือนเดิม จึงเรียกฟลอปปี้เช่นเดิม


ความสามารถของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
1.      การทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic machine)
          การจัดเก็บข้อมูลที่บันทึกผ่านทางแป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรียบร้อยแล้วข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับให้เป็นรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
2.      การทำงานด้วยความเร็วสูง (Speed)
          เนื่องจากการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำเนินงานต่าง ๆ จึงสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว (มากกว่าพันล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที)
          3.   ความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ (Accuracy and Reliability)
           คอมพิวเตอร์จะทำงานตามที่คำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้  ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้
4.   การเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก (Storage)
          คอมพิวเตอร์ทีหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่บันทึกไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหมื่นล้านตัวอักษร
5.        การสื่อสารเชื่อมโยงข้อมูล (Communication)
           คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ และสามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ระบบเดี่ยว เช่น การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการสืบค้น

ที่มา:http://portal.in.th/eleccom43/pages/004/

Smart Phone

ประโยชน์

1. ถ่ายรูป
      ต้องขอบอกว่าฟังก์ชั่นการถ่ายรูป ส่วนมากจะเป็นส่วนที่เราใช้งานมากสุด ยิ่งเดี๋ยวนี้แต่ละรุ่นความชัดก็เทียบเท่ากล้องดิจิตอลกันเลย ไม่ว่าเจออะไรประทับใจเราก็อดเก็บภาพไว้ไม่ได้ หรือ เวลาไปรับประทานอาหารเห็นอาหารที่มาเสริร์ฟหน้าตารับประทานเราก็จะถ่ายรูปไว้ หรือเวลาว่างๆ เราก็จะยกมือถือมาแชะรูปหน้าตัวเอง เสื้อผ้าหน้าผมที่เราแต่งมาว่าเจิดจรัสซักแค่ไหน และเมื่อเรามีมือถืออยู่กับตัวมันก็สะดวกที่จะถ่ายรูปในสถานการณ์ต่างๆใช่ไหมล่ะ


2. แอพแต่งภาพ

    หลังจากที่เราถ่ายภาพเสร็จแล้ว เราก็จะต้องมีแต่งภาพใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งในแอนดรอยด์นั้นก็มีแอพสำหรับแต่งภาพให้โหลดฟรีอยู่ไม่น้อยเลย มี filter ให้เราได้เลือกสรรในการแต่งภาพมากมาย และไม่ต้องเดาเลยว่าในมือถือแอนดรอยด์ของเพื่อนๆจะต้องมีแอพแต่งรูปภาพ อย่างน้อย 3 แอพ ขึ้นไปแน่ๆ ที่ฮิตๆก็จะมี Camera360  , Instagram , photo wonder เป็นต้น ซึ่งแอพแต่งภาพแต่ละอันเดี๋ยวนี้ก็จะมีฟังก์ชั่นการ แชร์ภาพเข้า Social Network ให้พร้อม เรียกได้ว่า เป็นกึ่งสำเร็จรูปเลยก็ว่าได้ แต่งภาพ 3 นาทีแล้วพร้อมแชร์ …. เอ๊ะ!! แอพพลิเคชั่นนะคะไม่ใช่มาม่า ^__^


3. Social network

หลายๆคนที่ซื้อมือถือแอนดรอยด์มาใช้ ซึ่งจุดประสงค์หลักที่ต้องการก็คือ การเข้าถึง Social Network อย่าง facebook , twitter , instagram  ฯลฯ ซึ่งจาก 2 ข้อแรก จะเห็นได้ว่าเมื่อเราถ่ายภาพ แต่งภาพออกมา ก็อยากจะให้มีคนเห็น คนชอบภาพที่เราถ่าย ดังนั้น Social network คือประเด็นหลักที่ขาดไปไม่ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญนอกจากภาพที่โดนๆ สังคมออนไลน์ก็สามารถทำได้อีกหลายอย่าง เรียกได้ว่า ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ต้องมี Social network เข้ามาเป็นกิจวัตรประจำวันแน่นอนค่ะ


4. แชท แชท แชท

อีกหนึ่งปัจจัยชอง มือถือแอนดรอยด์ คือต้องมี โปรแกรมแชท ซึ่งตอนนี้ ฟังก์ชั่น การส่ง message แทบจะมีผลน้อยเลยที่เดียวเมื่อเรามี โปรแกรมแชทเข้ามา ซึ่งหลายต่อหลายคนจะเรียกได้ว่า เสพย์ติดการแชทเลยก็ว่าได้ และโปรแกรมแชทในแอนดรอยด์ก็มีให้เลือกมากมายหลากหลาย ที่กำลังฮิตช่วงนี้ หนีไม่พ้น แอพ Line สินะ เพราะแอพนี้เค้ามี ฟังก์ชั่น ส่ง สติ๊กเกอร์ มาเสริมในการบอกความรู้สึก และสติ๊กเกอร์แต่ละอันก็น่ารัก น่าใช้ และสามารถถ่ายทอดอารมณ์เราแทนคำพูดได้ และสามารถตั้งกรุ๊ปดึงเพื่อนๆเข้ามาเมาส์มอยกันเป็นหมู่คณะได้ ทำให้ แอพ Line ชนะเลิศค่ะ ส่วนแอพอื่นๆที่ฮิตๆใช้กันจะเป็นพวก whatsapp , skype , Facebook chat



5. เกมส์

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในมือถือก็คือ เกมส์ ซึ่งในแอนดรอยด์ก็ได้เปรียบคือ ใน market มีเกมส์ให้โหลดฟรีๆ เยอะมากก แบบเสียตังก็มี ทำให้เลือกเล่นกันไม่ถูกเลย จะชอบเกมส์ปลูกผัก หรือ puzzle ผจญภัย ตะลุยด่าน ลับสมอง ประลองปัญญา เรียกได้ว่ามีให้เลือกเล่นได้เพลินๆ ถ้าเบื่อๆก็ลบหาเกมส์ใหม่มาเล่น ได้เรื่อยๆมีทั้งแบบ 3D HD ให้เลือกหามาเล่นส่วนเกมส์ที่แนะนำ คงหนีไม่พ้น เกมส์ยอดฮิต Angry Birds เกมส์นกโกรธที่ฮิตไปทั้วทุกมุมโลก ส่วนเกมส์อื่นๆที่อยากแนะนำก็ jetpack joyride , subwaysurf, Asphalt สามารถเล่นได้เพลินๆเลยค่ะ


6. E-mail

สำคัญมากสำหรับคนทำงาน ด้วยความที่เป็นมือถือสมาร์ทโฟน ทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกยิ่งขึ้นซึ่งในแอนดรอยด์จะมี gmail มาพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณอยู่ส่วนไหน ถ้ามีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ยิ่งถ้าใช้แพ็คเกจเน็ตแบบ unlimited เมลล์ก็จะแจ้งเตือนให้อัตโนมัติ ทำให้เราไม่พลาดงานที่สำคัญๆเลย


7. แผนที่

Google map ติดมากับเครื่องของแอนดรอยด์อยู่แล้วทุกรุ่น เราอยู่ตรงไหน จะไปไหน หา Location หาร้านบริเวณรอบๆที่คุณอยู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด google map สามารถช่วยคุณได้


8. ดูหนัง-ฟังเพลง

เมื่อมีมือถือซึ่งต้องติดตัวเราไปในทุกสถานที่ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การฟังเพลง หรือ การดูหนัง ซึ่งในแอนดรอยด์ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ถ้าอยากเข้าดูคลิปหนัง ฟังเพลง ดูMV คลิปตลกๆ หรือรายการต่างๆก็แค่เข้าแอพ Youtube หรือ ถ้าอยากดูหนังเกาหลีหรือต่างประเทศ อย่าง BoxTV  ก็มีแอพให้โหลด ไว้ดูกัน หรือถ้าเรามีหนังหรือเพลงในเครื่อง ก็ MX Player หรือ VPlayer


9. โทรฟรี & vdo call

แค่ได้ยินว่า โทรฟรี ก็ร้อง ว้าวๆๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะ ในแอนดรอยด์ มีแอพโทรฟรี แถมบางแอพสามารถ vdo call กันได้อีกด้วย ผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่หลายแอพด้วยกัน ซึ่งจากที่ลองใช้ดู ความชัดก็ขึ้นอยู่กับสัญญาณอินเตอร์เน็ตของเราและคู่สนทนาค่ะ app แนะนำ ก็จะเป็น Skype ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้ว การคุยฟรีผ่าน skype เราต้องมีไอดี ของกันและกันก่อน นะ ถ้าเป็นการโทรเข้าเบอร์จะมีการเก็บค่าบริการตามระบบของ skype นอกเหนือจาก skype ก็จะมี Line , Viber , Tango


10. อ่าน-เขียน-แก้ไข ไฟล์เอกสาร

ใน แอนดรอยด์หลายๆรุ่น จะมี ตัว Quick office มาให้เราสำหรับการ อ่าน แก้ไข หรือเขียน ไฟล์ word excel PDF หรืออื่นๆ ได้ หรือ เราสามารถหาแอพดีๆ จาก market ได้อย่างพวก document to go เป็นต้น แค่นี้ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ถ้ามีงานด่วนเข้ามาก็สามารถทำได้ทันที


Tablet

1. ระบบปฏิบัติการ สิ่งแรกที่เราต้องรู้จักและทำความเข้าใจก็คือระบบปฏิบัติการ หลายคนอาจจะงงๆว่าระบบปฏิบัติการคืออะไร ? ระบบปฎิบัติการคือโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ทแวร์ และเป็นโปรแกรมที่เป็นตัวกลางให้โปรแกรมอื่นๆที่อิงกับระบบปฎิบัติการนั้นสามารถทำงานกับฮาร์ทแวร์ได้ โดยระบบปฏิบัติการที่เราคุ้นเคยเช่น Windows ซึ่ง Windows XP, Windows Vista หรือ Windows 7 ต่างๆเหล่านี้ถือเป็นระบบปฏิบัติการตัวนึง และแท็บเล็ตก็จำเป็นที่ต้องมีระบบปฏิบัติการไว้สำหรับใช้งาน ซึ่ง มีระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้งานกันได้แก่

iOS ระบบปฏิบัติการจากค่าย Apple ซึ่งแท็บเล็ตที่ใช้อยู่ก็คือ iPad นั่นเอง และถ้าให้พูดถึงจุดเด่นของ iOS แล้วละก็คงจะเป็นที่ประสิทธิภาพในการทำงานกับฮาร์ดแวร์ และจัดการหน่วยความจำที่ดีถ้าเทียบกับแท็บเล็ทอื่นที่มีหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลกลางเท่ากันแล้ว iOS ยังมีการทำงานที่ดีกว่า ส่วนข้อด้อยเป็นระบบปฏิบัติการตัวเดียวที่ไม่รองรับ Flash (ไม่สามารถแสดงผลได้) และการเชื่อมต่อที่ต้องทำผ่านซอฟท์แวร์ iTune เท่านั้น
Android ระบบปฏิบัติการจากค่าย Google เดิมทีทาง Google ได้พัฒนาขึ้นมาใช้สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนซึ่งก็มีบางค่ายได้นำไปปรับปรุงแล้วใส่ในแท็บเล็ต ตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy Tab รุ่นแรกโดยตัวระบบปฏิบัติการที่ใช้นั่นจะเป็น Android Froyo ต่อมาทาง Google ถึงได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นใหม่ให้รองรับแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาดใหญ่กว่ามือถือสมาร์ทโฟนโดยตั้งชื่อมันว่า Honeycomb ซึ่งจะมีหลายเวอร์ชั่นด้วยกันดังนี้
3.0 - เป็นเวอร์ชั่นแรกที่ออกมาสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ การทำงานโดยรวมทั้งความเร็วและความลื่นเมื่อเทียบกับ iOS แล้วยังสู้ไม่ได้ แต่จะได้เปรียบและดีกว่า iOS ตรงรองรับ Flash และส่วนการเชื่อมต่อที่ทำได้ง่ายเพียงแค่เสียบเข้ากับเครื่องคอมก็จะมองเห็นเป็นอุปกรณ์อีกตัวนึงสามารถทำงาน copy, paste, delete ไฟล์ต่างๆได้สะดวก
3.1 - มีการปรับปรุงจากเวอร์ชั่น 3.0 ในด้านความเร็วในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อและโอนถ่ายข้อมูลผ่านช่อง USB
3.2 - เพิ่มโหมดการแสดงผลสำหรับแอพพลิเคชั่นบนมือถือให้สามารถแสดงผลบนแท็บเล็ตได้อย่างถูกต้อง และปรับปรุงให้รองรับกับแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการ ขยายหน้าจอ (Zoom)
Windows ระบบปฏิบัติการจากค่าย Microsoft หลายคนอาจจะชินและคุ้นเคยกับการใช้งาน Windows เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งหน้าจอเป็นแบบสัมผัสอีกด้วยก็ช่วยให้แท็บเล็ตน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตัว Windows 7 นั้นยังคงไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้สำหรับแท็บเล็ต บางส่วนจึงอาจจะเล็กเกินไปที่จะใช้นิ้วสัมผัสได้ นอกจากนี้ระยะเวลาการใช้งานก็ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับ iOS, Android และ BlackBerry Tablet OS
BlackBerry Tablet OS ระบบปฏิบัติการจากค่าย RIM เจ้าของมือถือสมาร์ทโฟน BB นั่นเอง โดยระบบปฏิบัติการตัวนี้จะพัฒนามาสำหรับ PlayBook โดยเฉพาะ การทำงานโดยรวมก็ถือได้ว่าลื่นไหลไม่แพ้ iOS นอกจากนี้ยังออกแบบการใช้งานโดยวิธีการสัมผัสต่างๆช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น จุดเด่นอีกอย่างก็คือการทำงานของ Multitasking หรือเปิดแอพพลิเคชั่นหลายตัวพร้อมกันสามารถทำได้ดีกว่าระบบปฏิบัติการตัวอื่นๆ หรือเทียบเท่า Windows ได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม PlayBook จำเป็นจะต้องมีมือถือ BB ถึงจะสามารถใช้งานส่วน เช็คอีเมลล์, รายชื่อ, ปฏิทิน, BBM ได้ และยังไม่รองรับภาษาไทยอีกด้วย
WebOS ระบบปฏิบัติการแบบออนไลน์ นั่นเอง เราสามารถที่จะทำงานต่างๆ ได้โดยผ่าน Web Browser ดังน้ันมี Web Browser ก็สามารถทำงานได้แล้ว ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้อง Save file ลงในฮาร์ดแวร์ และเมื่อแก้ไขงานเสร็จแล้วไฟล์ดังกล่าวจะอยู่ใน WebOS ทำให้สามารถทำงานต่อได้ทุกที่ทุกเวลา จุดนี้น่าจะเป็นจุดแข็งของ WebOS แต่ถ้าไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ทก็ไม่สามารถทำงานได้ จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของ WebOS ทำให้ไม่เป็นที่นิยม จน HP ประกาศเลิกพัฒนาไปในที่สุด
2. ขนาดหน้าจอ แท็บเล็ตในท้องตลาด ณ ตอนนี้มีหลายขนาดให้เลือกซื้อ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานหรือความชอบของแต่ละคน โดยผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ดังต่อไปนี้ คือ

7 นิ้ว - ขนาดไม่ใหญ่มากพกพาสะดวกเหมือนกับเราพกพ็อกเก็ตบุ๊คสักหนึ่งเล่ม
10 นิ้ว - จอใหญ่แสดงผลได้เยอะแต่ขนาดและน้ำหนักก็จะใหญ่และสูงตามไปด้วย

3. น้ำหนัก ถือเป็นปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึงเนื่องจากโดยทั่วไปแล้วเรามักจะถือใช้งานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมาหลายตัวบอกได้เลยว่าตัวที่มีน้ำหนักประมาณ 700 กรัมจะถือได้ไม่นานเท่าไรนัก และยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงแล้วละก็คงจะถือไม่ไหวอย่างแน่นอนต้องอาศัยการวางบนโต๊ะสลับกับถือเป็นระยะๆแทน หรืออีกวิธีก็คือวางบนตักคงพอใช้งานได้นานขึ้นอีกนิด

4. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แท็บเล็ตส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นกว้างๆได้แก่ WiFi และ 3G + WiFi การเลือกซื้อเราต้องดูลักษณะการใช้งานของตัวเราเอง
ถ้าเราใช้เฉพาะในบ้านหรือในอาคารเสียเป็นส่วนใหญ่รุ่น WiFi อย่างเดียวก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วเพราะราคาจะไม่สูงมากสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่าย WiFi ภายในบ้านหรือตามสถานที่ต่างๆได้
แต่ถ้าในกรณีที่เราออกข้างนอกบ่อยๆหรือใช้ชีวิตบนรถมากกว่าอยู่ในบ้านคงต้องเป็นรุ่น 3G + WiFi เพราะ 3G จะมีสัญญาณที่ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า (ณ ปัจจุบันอาจจะรองรับเฉพาะในกรุงเทพ) แต่ราคาก็จะสูงกว่ารุ่น WiFi อย่างเดียวประมาณ 2 - 3 พันบาท
หรืออีกกรณีถ้าใครมี MiFi อยู่แล้ว (อุปกรณ์สำหรับกระจายสัญญาณ WiFi โดยเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 3G ราคาตัวอุปกรณ์ตกประมาณ 3 - 4 พันบาท) ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่น 3G + WiFi ก็ได้ซื้อรุ่น WiFi อย่างเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าใครไม่มี MiFi และไม่อยากจะซื้อรุ่น 3G + WiFi ยังมีอีกตัวเลือกก็คือ AirCard เนื่องจากตัวอุปกรณ์มีราคาไม่สูงเพียง 1 - 2 พันบาท แต่ก็จะใช้ได้เพียงแท็บเล็ตที่รันระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้นระบบปฏิบัติการอื่นๆยังคงไม่รองรับ
5. ความจุ ในที่นี้ก็คือพื้นที่เก็บข้อมูลภายในหรือบางที่ก็เรียกว่าหน่วยความจำ มีให้เลือกด้วยกันหลายรุ่นหลายขนาดได้แก่ 16GB/32GB/64GB แต่ราคาก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆรุ่นละ 2-3 พันบาท การเลือกซื้อส่วนใหญ่ไฟล์ที่กินพื้นที่มักจะเป็นไฟล์หนังซึ่งเรื่องนึงก็กินไป 1 - 2GB แล้ว ถ้าใครไม่เก็บไฟล์หนังไว้บนเครื่องเพียงแค่เก็บไฟล์เพลง รูป + แอพพลิเคชั่นนิดหน่อยขนาด 16GB ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าใครไม่ต้องการมานั่งลบบ่อยๆและมีงบประมาณระดับนึงก็ให้เลือกขนาดความจุที่สูงๆเข้าไว้ครับ

อย่างไรก็ตามแท็บเล็ตบางรุ่นจะมีส่วนเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาหลายรูปแบบซึ่งก็ถือเป็นตัวที่ต้องคำนึงถึงด้วยเหมือนกันเพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อความจุเยอะๆ แต่อาศัยเก็บข้อมูลที่อื่นแทน ตัวอย่างเช่น
ถ้าเครื่องไหนที่มีช่องเสียบการ์ด microSD จะได้เปรียบเพราะสามารถไปเก็บข้อมูลในการ์ดแทนได้
อีกวิธีที่ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานก็คือบริการ cloud หรือกลุ่มเมฆซึ่งเราสามารถนำไฟล์ไปฝากไว้ที่บริการนี้ได้โดยไม่ต้องเก็บไว้ในเครื่อง (ตอนนี้มีเพียง ASUS Eee Pad Transformer เท่านั้นที่มีบริการนี้ให้ใช้งานฟรีในช่วงแรก)
Clear.fi เป็นเทคโนโลยีที่มีเฉพาะแท็บเล็ตของ Acer เท่านั้นโดย Clear.fi จะช่วยให้เราสามารถเล่นไฟล์เพลง, ดูไฟล์หนังและดูรูปโดยที่ไม่ต้องเก็บไฟล์เหล่านั้นลงบนเครื่องเลย เพียงแต่อ่านไฟล์จากเครื่องอื่นผ่านเครือข่าย WiFi แทนและเป็นแบบ Streaming ด้วยไม่ต้องรอก็อปปี้ไฟล์
6. ช่องเสียบ สำหรับ iPad นั้นจะไม่มีช่องเสียบใดๆติดมากับตัวเครื่องต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมถึงจะสามารถใช้งานได้ แต่สำหรับแท็บเล็ต Android และ Windows ส่วนมากจะมีช่องเสียบเพิ่มเติมติดมากับตัวเครื่องเลยทำให้เราไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมใดๆก็ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนหนึ่ง สำหรับช่องเสียบต่างๆบนแท็บเล็ตนั้นมีดังต่อไปนี้

USB / Mini USB / micro USB - สำหรับเสียบ Flash Drive, External Harddisk, เม้าส์, คีย์บอร์ด
HDMI / mini HDMI / micro HDMI - เอาไว้ต่อเอาภาพจากแท็บเล็ตออกจอทีวี
SD / SDHC / microSD - กล้องดิจิตอลหรือกล้องวีดีโอส่วนมากจะใช้การ์ด SDHC หรือ SD ซึ่งเราก็สามารถจะนำไปเสียบเข้ากับแท็บเล็ตที่มีช่องเหล่านี้เพื่อทำการโอนถ่ายข้อมูลได้ทันที หรือถ้าเครื่องไหนมีช่องเสียบ microSD ก็สามารถใช้เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆได้มากกว่าความจุที่มีอยู่ในเครื่อง

7. แอพพลิเคชั่น เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มมิติและประโยชน์ในการใช้งานของแท็บเล็ต ถ้าให้เรียงลำดับตามแอพพลิเคชั่นที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดผมให้แท็บเล็ตที่รันระบบปฏิบัติการ Windows มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ iOS, Android และ BlackBerry Tablet OS

8. ลูกเล่นเพิ่มเติม เนื่องจากหลายๆบริษัทต้องการสร้างความแตกต่างให้กับแท็บเล็ตของตัวเอง บางบริษัทจึงได้มีการเพิ่มเติมฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆให้แตกต่างจากค่ายอื่นๆ ดังเช่น
ฮาร์ดแวร์
คีย์บอร์ด Dock สำหรับแปล่งร่างเป็นเน็ตบุ๊คของ ASUS Eee Pad Transformer
คีย์บอร์ด Dock สำหรับแปล่งร่างเป็นเน็ตบุ๊คของ Acer Iconia Tab W500, W501
ปากกา Magic Pen ของ HTC Flyer
กล้องถ่ายภาพ 3 มิติ ของ LG Optimus Pad
ซอฟท์แวร์
TouchWiz UX ใน Samsung Galaxy Tab 10.1
Clear.fi ใน Acer Iconia Tab A500, A501, W500, W501
โทรได้ Samsung Galaxy Tab รุ่นแรก
9. ราคา ข้อนี้สำหรับผมถือเป็นปัจจัยหลักครับ ตามความคิดของผมยังมองว่าแท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์น้อยกว่าโน๊ตบุ๊ค ซึ่งถ้าราคาสูงเกินไปก็ดูจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และช่วงนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นและทดลองตลาดกันเสียมากกว่าราคาส่วนใหญ่ยังคงสูงอยู่ แต่ถ้าใครตัดสินใจที่อยากจะได้สักตัวมาไว้ใช้งานก็ควรจะเลือกซื้อตัวที่ราคาไม่สูงจนเกินไป

สรุป
แท็บเล็ตไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา การจะซื้อแท็บเล็ตสักตัวอยากให้คำนึงถึงประโยชน์ที่เราจะได้จากมันหรือง่ายๆคือซื้อมาแล้วได้ใช้งานไม่ต้องแปรสภาพไปเป็นที่ทับกระดาษ แต่ถ้าคิดแล้วไม่มีหรือซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้อะไร ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งซื้อจะดีกว่าครับเพราะแท็บเล็ตตัวนึงราคาไม่ถือว่าถูก ควรจะซื้อเมื่อเราต้องใช้งาน แท็บเล็ตถึงจะมีประโยชน์มากที่สุด

ที่มา:http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=5283&filename=inde

Notebook


คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สะดวกในการเคลื่อนย้าย

ประเภทของคอมพิวเตอร์พกพา
1. โน๊ตบุ๊ค (Notebook) - เครื่องโน๊ตบุ๊ค มีจะน้ำหนักประมาณ 2.7 - 3.6 กิโลกรัม
2. สับโน๊ตบุ๊ค (Sub-Notebook) - มีน้ำหนัประมาณ 1 - 2.7 กิโลกรัม ความสามารถจะต่ำกว่าโน๊ตบุ๊ค
3. ปาล์มทอป (Palmtop) - มีขนาดใกล้เคียงกับม้วนวีดีโอเทป ใช้สำหรังาน นัดหมาย บันทึกนามบัตร

สิ่งสำคัญของคอมพิวเตอร์พกพาคือ แบตเตอร์รี่ ซึ่งทำให้สามารถใช้งานในที่ใด ๆ ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว แบตเตอร์รี่จะใช้ได้นานเพียง 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการชาร์ฟไฟอยู่เสมอ

ประเภทของแบตเตอร์รี่
1. นิกเกิลแคดเมียม (NiCd) - มีอายุการใช้งาน 1 - 2 ชั่วโมง ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว และการชาร์จไฟ ต้องรอให้แบตหมดก่อน และโดยเฉพาะสารแคดเมียมในแบตเตอร์รี่ยังมีอันตรายอีกด้วย
2. นิกเกิลไฮตราย (NiMH) - มีอายุการใช้งาน 2- 3 ชั่วโมง แบตฯ สามารถอัดไฟได้ตลอดเวลาตามต้องการ
3. ลิเธียมไออน - มีอายุการใช้งาน 4 - 5 ชั่วโมง แบตฯมีอายุการใช้งานนานที่สุดและราคาก็แพงด้วย

ประเภทของจอภาพ
คอมพิวเตอร์พกพาจะใช้จอภาพ LCD ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับนาฬิกาดิจิตอล
1. จอโมโนโครมแบบ Passive Matrix - จอภาพนี้แสดงได้เพียงสีโทนขาวดำเท่านั้น
2. จอสีแบบ Passtive Matrix - ราคาจะต่ำ และถ้ามองผิดมุมจะมองภาพไม่เห็นด้วย จอภาพชนิดนี้ยังแบ่งได้อีก 2 แบบคือ Dual-Scan Passive Matrix (ดีกว่า) และ Single-Scan Passive Matrix จอภาพ Passive Matrix เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า STN (Super Twist Nematic)
3. จอสีแบบ Active Matrix - จอภาพนี้จะให้ความสว่างและสีที่ดีกว่า มุมมองก็กว้างกว่าด้วย เหมาะสำหรับงานพรีเซ็นเทชั่น จอภพาแบบนี้ บางครั้งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า TFT (Thin Film Transissor)

การ์ดขยายที่ใช้สำหรับคอมฯแบบพกพา
เพื่อเพิ่มความสามารถ เรียกว่า PCMCIA (Personal Computer Memory Card Inernational Association) การ์ด PCMCIA นี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับบัตรเครดิต แต่หนากว่า การใช้งานส่วนใหญ่ จะเสียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง
1. PCMCIA Type I - หนาประมาณ 3.3 มิลลิเมตร ใช้สำหรับเพิ่มหน่วยความจำของเครื่อง
2. PCMCIA Type II - หนาประมาณ 5.0 มิลลิเมตร ใช้เป็นการ์ดโมเด็ม การ์ดเครือข่าย หรือการ์ดเสียง
3. PCMCIA Type III - หนาประมาณ 10.5 มิลลิเมตร ใช้เป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น ฮาร์ดดิกส์แบบเคลื่อนย้าย

ก่อนจะเลือกซื้อ
เพื่อให้ คุณได้ Notebook ที่ถูกใจ มากที่สุด ก่อนอื่น คุณควรจะต้อง ถามใจตัวเอง ก่อนว่า คุณต้องการ Notebook ไปใช้เพื่ออะไร

-เพื่อการพกพา นำไปทำงานนอกสถานที่ หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ต้องเกี่ยวข้อง กับการเดินทาง และต้องออกไปทำงาน นอก office อยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญ ยังต้องการ เครื่องมือ ที่จะช่วยงานคุณ ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เห็นที คุณต้อง ลงทุนสักหน่อย เพราะคุณต้องการ Notebook แบบพกพา ซึ่งมี ลักษณะ บางและเบา เป็นพิเศษ แน่นอนว่า ราคาก็คง ต้องพิเศษ ตามไปด้วย แต่หากคุณ คิดว่า ประสิทธิภาพ ไม่ใช่ประเด็นหลัก ลองหันมาดู Notebook แบบ Handheld ซึ่งจะมีขนาดเล็ก เป็นพิเศษ คงจะน่าสนใจ แถมราคา ยังย่อมเยาว์ กว่าอีกด้วย สิ่งที่ลืมไม่ได้ สำหรับ ผู้ที่กำลังมองหา Notebook เพื่อการพกพา ไปทำงาน นอกสถานที่ นั่นคือ อัตรา การบริโภค พลังงาน ที่ต้องต่ำ รวมไปถึง แบตเตอรี่ ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Notebook ที่ใช้ชิป Crusoe ที่มีอายุ การใช้งาน นานถึง 6 - 8 ชั่วโมง เลยทีเดียว ( Fujitsu นำรุ่น Lifebook P-1000 ที่ใช้ Crusoe Chip มาวางขาย ในราคา 74,793 บาท )

-เพื่องาน สมบุกสมบัน นอกสถานที่ คุณสมบัติ ของ Notebook ประเภทนี้ นั่นคือ ความสะดวก ในการพกพา ในขณะเดียวกัน ยังต้องมีตัว Case ที่แข็งแรง อย่างเช่น ทำมาจาก แมกนีเซียม อัลลอยด์ เป็นต้น ที่สำคัญ ยังต้องออกแบบ มาเพื่อกันแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน เป็นพิเศษอีกด้วย ดังนั้น ส่วนประกอบ ต่างๆ โดยเฉพาะ Harddisk จึงต้อง เป็นรุ่นพิเศษ ที่มีคุณสมบัติ Shock Resistant ในขณะเดียวกัน หาก Keyboard ยังสามารถ กันน้ำได้ด้วย ก็จะยิ่ง พิเศษและ รองรับ งานประเภทนี้ ได้ดียิ่งขึ้น
- เพื่องาน Presentation หากคุณ กำลังมองหา Notebook ที่ตอบสนอง ความต้องการ ในการ Presentation นอกสถานที่ แล้วล่ะก็ คงต้องหา Notebook ประสิทธิภาพสูง ดีๆ สักตัวหนึ่ง เพื่อให้ งานนำเสนอของคุณ รื่นไหล ไม่ติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการนำเสนอ เป็นภาพเคลื่อนไหว และเป็นแผ่นงานสามมิติ ผ่านโปรแกรม Presentation อย่าง PowerPoint แล้ว คงต้องหวัง พลังจากเครื่องที่สูง พอสมควร แล้วต้องไม่ลืมด้วยว่า ต้องสามารถ พกพาสะดวก มีขนาดที่เบา รวมไปถึง มีระบบมัลติมีเดีย รองรับครบถ้วน ตั้งแต่ Soundcard, Graphic Card ไปจนถึง ลำโพง คุณภาพเยี่ยม

-เพื่อความบันเทิง หากคุณ เป็นคนหนึ่ง ที่มีเงินเหลือพอ และชอบความเป็นอิสระ และรักสนุก เราคิดว่า Notebook เพื่อความบันเทิง คงเหมาะสม สำหรับคุณ จริงๆ แล้ว Notebook แบบนี้ จัดอยู่ใน ประเภทของ Notebook ระดับ High End เนื่องจาก มีการ ใส่ความสามารถ ต่างๆ เอาไว้ อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ การเล่น MP3, ตอบสนอง การเล่นเกมส์ 3 มิติ ไปจนถึง Drive DVD เพื่อรับชมภาพยนตร์ คุณภาพสูง ซึ่ง เพื่อให้ สามารถ รองรับ การทำงาน ระดับนี้ได้ จึงต้องพึ่งพา CPU ความเร็วสูง ในระดับ Pentium III ตามไปด้วย ซึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ กับอัตรา การบริโภค พลังงาน ในระดับสูง และค่าตัว ที่สูงขึ้น ตามไปด้วย

-เพื่อแทนที่ Desktop จริงๆ แล้ว Notebook ก็สามารถ ทำงานได้ เสมือนหนึ่ง เป็น Desktop PC ตัวหนึ่ง มีผู้คนไม่น้อย ที่เลือกใช้ Notebook แทนที่ Desktop PC เพราะความสะดวก ที่สามารถ ทำงานได้ทั้งที่ทำงาน หรือจะหอบหิ้ว เอางาน ( ใน Notebook ) มาทำต่อที่บ้าน ก็ได้ เราขอแนะนำว่า Notebook ประเภทนี้ ควรมีประสิทธิภาพ ที่สูง สักหน่อย เพื่อความสามารถ ในการรองรับ การทำงาน ได้อย่างเต็มที่ ไม่น้อยหน้า Desktop PC ที่สำคัญ ต้องไม่ลืม ในเรื่องของ Modem / LAN card เพราะคุณจะได้ ต่อ Notebook เข้า LAN ที่ทำงาน หรือต่อเข้ากับ สายโทรศัพท์ เพื่อเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ต ที่บ้านได้ อีกทั้ง เราคิดว่า หากคุณ จะลงทุน ซื้อจอ 17 นิ้ว พร้อม Keyboard กับ เม้าส์ แยกออกมาต่างหาก แล้วต่อ Notebook เข้ากับ Dock Station คงจะดีไม่น้อย เพราะจะช่วยแปลง ให้ Notebook กลายเป็นตัวถัง CPU ที่ต่อเชื่อม กับจอ , คีย์บอร์ด, เม้าส์ เสมือนหนึ่ง นั่งทำงาน อยู่หน้า Desktop PC เลยทีเดียว

เทคนิคการเลือกซื้อ
ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่กำลังจะซื้อ Notebook หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อ Notebook ลองศึกษารายละเอียด เบื้องต้นเหล่านี้ดูก่อน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจให้แก่ท่าน เนื่องจากราคาของ Notebook จะมีราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่อง Desktop ทั่ว ๆ ไป

คุณสมบัติของ Notebook ที่ควรพิจารณา
1. จอภาพ
ควรมีขนาดใหญ่ เพราะยิ่งใหญ่จะยิ่งชัด และควรเป็นจอภาพแบบ TFT
ความละเอียดควรกำหนดได้อย่างน้อย 800 * 600
จำนวนสีที่สามารถกำหนดได้อย่างต่ำควรเป็น 16 บิต

2. แบตเตอรรี่
ควรใช้ ลิเธียมไอคอน เพราะว่ามีอายุการใช้งานนานที่สุดในบรรดาแบตเตอรรี่อื่นๆ

3. หน่วยความจำ
ควรติดตั้งแรมให้มากเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างน้อย 64 MB

4. ฮาร์ดดิกส์
อย่างน้อย 5 GB ขึ้นไป เพราะว่าปัจจุบันโปรแกรมส่วนใหญ่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก

5. ระบบมัลติมีเดีย
หมายถึง CD-Rom หรือ DVD Drive บวกกับ Sound card ส่วนใหญ่เป็นพื้นฐานไปแล้วสำหรับเครื่องคอมฯ รุ่นใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีไว้ เนื่องจากซอร์ฟแวร์ใหม่ ๆ จะบันทึกผ่านทางแผ่น CD

6. โมเด็ม
ห้ามพลาดทีเดียว ถ้าคุณต้องการเล่น internet และต้องการส่ง fax ผ่านเครื่องคอมฯ

7. เน็ตเวิร์คการ์ด
สำหรับเชื่อมระบบเครือข่าย ถ้าคุณมีการใช้งานในระบบเครือข่าย (Network) บางยี่ห้อ บางรุ่นก็แถมมาให้ด้วยครับ

8.คุณสมบัติพิเศษ

-สีสัน : หลังจากที่ Imac ประสบความสำเร็จ กับการนำสีสัน มีใช้ ทำให้ ผู้ผลิต PC หลายราย พยายาม ยืมรูปแบบนี้ มาใช้บ้าง เพื่อตอบสนอง ผู้ใช้ ที่ต้องการสีสัน และความสนุกสนาน ในการทำงาน หลังจาก ที่ต้องทน อยู่กับ ตัวเครื่องสีดำ หรือ สีเงินเมทัลลิก มานาน ดูเหมือนว่า Compaq จะเป็นผู้เล่น รายแรกๆ ที่นำเอา สีสันมาใช้ ใน Notebook ของตน ซึ่งจะพบเห็นได้ในรุ่น Presario 1400 แถมยังโดดเด่น ด้วยความสามารถ ในการถอดหน้ากากสี ได้อีกด้วย นอกจาก Compaq แล้ว ทางค่าย Asus ผู้ผลิต Mainboard ชื่อดัง ที่หันมาเอาดี ด้าน Notebook ด้วย ก็ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มาพร้อมกับสีสันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

-Multimedia : มี Notebook มากมาย ที่พยายาม แปลงตัวเอง จากคอมพิวเตอร์ PC ทั่วไป ให้กลายเป็น สถานีความบันเทิง แบบพกพาได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ หากคุณจะพบว่า Notebook ในหลายๆ รุ่น ได้ถูกอัดแน่น ไปด้วยความสามารถ ในการตอบรับ ความบันเทิง ทั้ง ตั้งแต่เล่นแผ่น DVD ไปจนถึง เป็นเครื่องเล่น MP3 หากคุณเอง เป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบ คุณสมบัติเหล่านี้ อย่าลืมดูด้วยว่า ลำโพงที่มาพร้อมกับ Notebook นั้น มีประสิทธิภาพ มากน้อยเพียงใด ง่ายๆ เลยนั่นคือ ให้คุณทดลองฟัง ด้วยตัวคุณเอง เพื่อตัดสินใจ เพราะลำโพง เป็นปัจจัยหลักประการหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความบันเทิง ให้กับ Notebook ของคุณ ทิ้งท้าย ไว้สักนิดว่า หากคุณ ชื่นชอบ คุณสมบัตินี้ล่ะก็ คงไม่เหมาะนัก ที่จะนำไปใช้งาน นอกสถานที่ เพราะอายุการใช้งาน Battery จะสั้นลงถนัดตา จากปกติ 3 - 4 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น

-กระเป๋า Notebook : หากคุณ จะหอบหิ้ว Notebook ไปไหนมาไหน โดยไม่มีกระเป๋าใส่ ก็คงไม่ดีนัก ดังนั้น ผู้ขาย จึงมักจะแถมกระเป๋า ใส่ Notebook มาพร้อมด้วย แต่กระเป๋าที่แถมมานี้ ก็ใช่ว่า จะมีคุณภาพที่ดีนัก ส่วนใหญ่แล้ว ไม่แตกต่างจาก กระเป๋าใส่เอกสาร สักเท่าไหร่ สำหรับ กระเป๋า Notebook ที่ดีนั้น ควรจะทำมาจาก วัสดุ ที่แข็งแรง และมีการบุฟองน้ำ หรือวัสดุ ที่ช่วยซับ แรงกระแทก อีกทั้ง ภายในกระเป๋า ควรจะมี ช่องต่างๆ ให้ใส่อุปกรณ์ สำหรับ Notebook ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ แบตเตอรี่สำรอง, ที่ชาร์จแบต, CD-Drive ไปจนถึง ที่ใส่แผ่น CD ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ เพื่อคุณจะได้ มีกระเป๋าแบบ All in 1 ที่มีอุปกรณ์ทุกอย่าง ครบอยู่ในตัว

-การบริการ : อย่านึกว่าไม่สำคัญนะครับ เพราะว่า Notebook ไม่เหมือน Desktop PC อันดับแรกเลย นั่นคือ ด้วยราคาค่าตัว ที่สูงกว่ามาก อีกทั้ง อุปกรณ์ภายในต่างๆ ก็มีความซับซ้อน ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ง่ายๆ หรือทำได้ด้วยตนเอง เหมือน PC ทั่วไป ทำให้คุณ ต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้ขายของคุณ มีบริการหลังการขาย ที่ดีหรือไม่ คุณจะได้ไม่ต้องมานั่ง เสียใจ ในภายหลัง เราชื่นชอบอย่างมาก กับผู้ให้บริการบางราย ที่จะให้ Notebook เครื่องใหม่ มาให้คุณยืมใช้ในทันที หากไม่สามารถ ซ่อมแซมได้ ภายใน 1 วัน ซึ่งช่วยให้ งานของคุณ ไม่หยุดชะงัก ตามไปด้วย

การเลือกซื้อ
1. การเลือกซื้อ Notebook ควรกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากการ upgrade จะค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะรุ่น และราคาชิ้นส่วนก็ค่อนข้างสูงด้วย
2. ราคาของ Notebook เมื่อเทียบคุณสมบัติชิ้นส่วนต่อชิ้นส่วนแล้ว ราคา Notebook จะค่อนข้างสูงกว่า Desktop มาก บางรุ่นสูงถึง 100%
3. อุปกรณ์เสริมสำหรับ Desktop ส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้งานได้กับ Notebook


ที่มา:http://it.excise.go.th/u-notebook.htm

Micro Computer

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า


ที่มา:http://th.wikipedia.org

คอมพิวเตอร์

ความหมายของคอมพิวเตอร์

      คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"


คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 

การทำงานของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ  โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ  Input  Process และ output   ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ


ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)

เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น   ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง   ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ   หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)

เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่
ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม 
นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)

เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้   โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้

ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์

เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า  4 S special ดังนี้

1. หน่วยเก็บ (Storage)
หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็น
จุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย

2. ความเร็ว (Speed)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) 
โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด 
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน

3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น

4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก  ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

   1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
   2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ  หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
   3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
   4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
   5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
   6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด