วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์

หน่วยความจำหลัก (Main Memory Unit)

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)

 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

2.2.1 หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (Read Only Memory - ROM)

       เป็นหน่วยความจำแบบสารกึ่งตัวนำชั่วคราวชนิดอ่านได้อย่างเดียว ใช้เป็นสื่อบันทึกในคอมพิวเตอร์ เพราะไม่สามารถบันทึก

ซ้ำได้ (อย่างง่ายๆ) เป็นความจำที่ซอฟต์แวร์หรือข้อมูลอยู่แล้ว และพร้อมที่จะนำมาต่อกับไมโครโพรเซสเซอร์ได้โดยตรง หน่วยความจำประเภทนี้แม้ไม่มีไฟเลี้ยงต่ออยู่ ข้อมูลก็จะไม่หายไปจากน่วยความจำ (nonvolatile)

       โดยทั่วไปจะใช้เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีการแก้ไขอีกแล้วเช่น เก็บโปรแกรมไบออส (Basic Input output System : BIOS) หรือเฟิร์มแวร์ ที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ใช้เก็บโปรแกรมการทำงานสำหรับเครื่องคิดเลขใช้เก็บโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน

เฉพาะด้าน เช่น ในรถยนต์ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมวงจร ควบคุมในเครื่องซักผ้า เป็นต้น



2.2.2 หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (Random Access Memory - RAM)

                เป็นหน่วยความจำหลัก ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้ อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิสก์ ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว

                ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้ จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น

       internal storge หรือเป็นหน่วยเก็บข้อมูลและโปรแกรมชั่วคราว( temporary storage)
เมื่อปิดเคื่รองคอมพิวเตอร์ข้อมูลหรือโปรเเกรมทุกอย่าง ที่เก็บในแรมจะหายไป เนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยง หน่วยเก็บข้อมูลประเภทนี้จึงเรียกว่า volatile ดังนั้นจัดเก็บข้อมูลอย่างถาวร ไว้ใช้งานในภายหลัง จึงจำเป็นจะตอ้งมีหน่วยเก็บเข้อมูลภายนอกที่เรียกว่า external storage หรือ secondary storage หรือ auxiliary storage ซึ่งสามารถจัดเก็บข้อมูลสำหรับการประมวลผลไว้ได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีกระเเส ไฟฟ้าหล่อเลี้ยง( non-volatile) ก็ตาม

       กระบวนการในการเก็บข้อมูล เรียกว่า การเขียนหรือการบันทึกข้อมูล ( writing หรือ recording data)
เนื่องจากว่า อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง จะบันทึกข้อมูลในรูปของสื่อต่างๆที่สามารถนำมาเร๊ยกในภายหลังได้ กระบวนการดึงข้อมูลมาใช้เรียกว่า retrieving data เเละถ้าเป็นการอ่านข้อมูลจะเรียกว่า reading data เพราะอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองจะอ่านข้อมูลและถ่ายโอนไปยังหน่วยความจำหลัก เพื่อการประมวลผลต่อไป

       การใช้งานคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆ จะมีความต้องการอุปกรณ์ในการจัดเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป เช่น บริษัทประกันและธนาคาร อาจมีความต้องการอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้จำนวนมาก ในขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจต้องการอุปกรณ์ ในการจัดเก็บข้อมูลไม่มากนัก

หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage Unit)


อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

 จานแม่เหล็ก ( magnetic disk storage)


      จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จานแม่เหล็กประกอบด้วยแผ่นพลาสติกหรือโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก ข้อมูลสามารถบันทึกและอ่านจากผิวหน้าที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กนี้ จานแม่เหล็กเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุสูง มีความเชื่อถือได้ และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ประเภทของจานแม่เหล็ก เช่น ฮาร์ดดิสก์ ( hard disk )

ฟลอปปี้ดิสก์ ( floppy disks)

floppy disk

       ฟลอปปี้ดิสก์ นิยมเรียกโดยทั่วไปว่า ดิสก์เกตต์ ( diskettes) หรือดิสก์ ( disks) เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองที่สามารถพกพาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก ฟลอปปีดิสก์ ในรุ่นแรก ๆ จะมีขนาด 8 นิ้ว และ 5.25 นิ้ว แต่ปัจจุบันนิยมใช้ขนาด 3.5 นิ้วแต่เดิมฟลอปปีดิสก์เรียกว่า ฟลอปปี ( floppies) เพราะดิสก์มีลักษณะที่บางและยืดหยุ่น แต่ปัจจุบันลักษณะของดิสก์ได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นดิสก์ที่หุ้มด้วยแผ่นพลาสติกแข็ง แต่เนื้อดิสก์ภายในยังคงอ่อนเหมือนเดิม จึงเรียกฟลอปปี้เช่นเดิม


ความสามารถของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
1.      การทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic machine)
          การจัดเก็บข้อมูลที่บันทึกผ่านทางแป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจและสามารถประมวลผลได้ และเมื่อคอมพิวเตอร์ประมวลผลเรียบร้อยแล้วข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับให้เป็นรูปแบบที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้
2.      การทำงานด้วยความเร็วสูง (Speed)
          เนื่องจากการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการดำเนินงานต่าง ๆ จึงสามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว (มากกว่าพันล้านคำสั่งในหนึ่งวินาที)
          3.   ความถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ (Accuracy and Reliability)
           คอมพิวเตอร์จะทำงานตามที่คำสั่งที่มนุษย์เขียนโปรแกรมหรือคำสั่งไว้  ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งมีความถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก็จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้
4.   การเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก (Storage)
          คอมพิวเตอร์ทีหน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่บันทึกไป ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของคอมพิวเตอร์ เช่น เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าหมื่นล้านตัวอักษร
5.        การสื่อสารเชื่อมโยงข้อมูล (Communication)
           คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ และสามารถทำงานที่หลากหลายมากขึ้นกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ระบบเดี่ยว เช่น การนำคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อการสืบค้น

ที่มา:http://portal.in.th/eleccom43/pages/004/

Smart Phone

ประโยชน์

1. ถ่ายรูป
      ต้องขอบอกว่าฟังก์ชั่นการถ่ายรูป ส่วนมากจะเป็นส่วนที่เราใช้งานมากสุด ยิ่งเดี๋ยวนี้แต่ละรุ่นความชัดก็เทียบเท่ากล้องดิจิตอลกันเลย ไม่ว่าเจออะไรประทับใจเราก็อดเก็บภาพไว้ไม่ได้ หรือ เวลาไปรับประทานอาหารเห็นอาหารที่มาเสริร์ฟหน้าตารับประทานเราก็จะถ่ายรูปไว้ หรือเวลาว่างๆ เราก็จะยกมือถือมาแชะรูปหน้าตัวเอง เสื้อผ้าหน้าผมที่เราแต่งมาว่าเจิดจรัสซักแค่ไหน และเมื่อเรามีมือถืออยู่กับตัวมันก็สะดวกที่จะถ่ายรูปในสถานการณ์ต่างๆใช่ไหมล่ะ


2. แอพแต่งภาพ

    หลังจากที่เราถ่ายภาพเสร็จแล้ว เราก็จะต้องมีแต่งภาพใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งในแอนดรอยด์นั้นก็มีแอพสำหรับแต่งภาพให้โหลดฟรีอยู่ไม่น้อยเลย มี filter ให้เราได้เลือกสรรในการแต่งภาพมากมาย และไม่ต้องเดาเลยว่าในมือถือแอนดรอยด์ของเพื่อนๆจะต้องมีแอพแต่งรูปภาพ อย่างน้อย 3 แอพ ขึ้นไปแน่ๆ ที่ฮิตๆก็จะมี Camera360  , Instagram , photo wonder เป็นต้น ซึ่งแอพแต่งภาพแต่ละอันเดี๋ยวนี้ก็จะมีฟังก์ชั่นการ แชร์ภาพเข้า Social Network ให้พร้อม เรียกได้ว่า เป็นกึ่งสำเร็จรูปเลยก็ว่าได้ แต่งภาพ 3 นาทีแล้วพร้อมแชร์ …. เอ๊ะ!! แอพพลิเคชั่นนะคะไม่ใช่มาม่า ^__^


3. Social network

หลายๆคนที่ซื้อมือถือแอนดรอยด์มาใช้ ซึ่งจุดประสงค์หลักที่ต้องการก็คือ การเข้าถึง Social Network อย่าง facebook , twitter , instagram  ฯลฯ ซึ่งจาก 2 ข้อแรก จะเห็นได้ว่าเมื่อเราถ่ายภาพ แต่งภาพออกมา ก็อยากจะให้มีคนเห็น คนชอบภาพที่เราถ่าย ดังนั้น Social network คือประเด็นหลักที่ขาดไปไม่ได้เลยทีเดียว ที่สำคัญนอกจากภาพที่โดนๆ สังคมออนไลน์ก็สามารถทำได้อีกหลายอย่าง เรียกได้ว่า ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ต้องมี Social network เข้ามาเป็นกิจวัตรประจำวันแน่นอนค่ะ


4. แชท แชท แชท

อีกหนึ่งปัจจัยชอง มือถือแอนดรอยด์ คือต้องมี โปรแกรมแชท ซึ่งตอนนี้ ฟังก์ชั่น การส่ง message แทบจะมีผลน้อยเลยที่เดียวเมื่อเรามี โปรแกรมแชทเข้ามา ซึ่งหลายต่อหลายคนจะเรียกได้ว่า เสพย์ติดการแชทเลยก็ว่าได้ และโปรแกรมแชทในแอนดรอยด์ก็มีให้เลือกมากมายหลากหลาย ที่กำลังฮิตช่วงนี้ หนีไม่พ้น แอพ Line สินะ เพราะแอพนี้เค้ามี ฟังก์ชั่น ส่ง สติ๊กเกอร์ มาเสริมในการบอกความรู้สึก และสติ๊กเกอร์แต่ละอันก็น่ารัก น่าใช้ และสามารถถ่ายทอดอารมณ์เราแทนคำพูดได้ และสามารถตั้งกรุ๊ปดึงเพื่อนๆเข้ามาเมาส์มอยกันเป็นหมู่คณะได้ ทำให้ แอพ Line ชนะเลิศค่ะ ส่วนแอพอื่นๆที่ฮิตๆใช้กันจะเป็นพวก whatsapp , skype , Facebook chat



5. เกมส์

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในมือถือก็คือ เกมส์ ซึ่งในแอนดรอยด์ก็ได้เปรียบคือ ใน market มีเกมส์ให้โหลดฟรีๆ เยอะมากก แบบเสียตังก็มี ทำให้เลือกเล่นกันไม่ถูกเลย จะชอบเกมส์ปลูกผัก หรือ puzzle ผจญภัย ตะลุยด่าน ลับสมอง ประลองปัญญา เรียกได้ว่ามีให้เลือกเล่นได้เพลินๆ ถ้าเบื่อๆก็ลบหาเกมส์ใหม่มาเล่น ได้เรื่อยๆมีทั้งแบบ 3D HD ให้เลือกหามาเล่นส่วนเกมส์ที่แนะนำ คงหนีไม่พ้น เกมส์ยอดฮิต Angry Birds เกมส์นกโกรธที่ฮิตไปทั้วทุกมุมโลก ส่วนเกมส์อื่นๆที่อยากแนะนำก็ jetpack joyride , subwaysurf, Asphalt สามารถเล่นได้เพลินๆเลยค่ะ


6. E-mail

สำคัญมากสำหรับคนทำงาน ด้วยความที่เป็นมือถือสมาร์ทโฟน ทำให้การติดต่อสื่อสารสะดวกยิ่งขึ้นซึ่งในแอนดรอยด์จะมี gmail มาพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณอยู่ส่วนไหน ถ้ามีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ยิ่งถ้าใช้แพ็คเกจเน็ตแบบ unlimited เมลล์ก็จะแจ้งเตือนให้อัตโนมัติ ทำให้เราไม่พลาดงานที่สำคัญๆเลย


7. แผนที่

Google map ติดมากับเครื่องของแอนดรอยด์อยู่แล้วทุกรุ่น เราอยู่ตรงไหน จะไปไหน หา Location หาร้านบริเวณรอบๆที่คุณอยู่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด google map สามารถช่วยคุณได้


8. ดูหนัง-ฟังเพลง

เมื่อมีมือถือซึ่งต้องติดตัวเราไปในทุกสถานที่ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การฟังเพลง หรือ การดูหนัง ซึ่งในแอนดรอยด์ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ถ้าอยากเข้าดูคลิปหนัง ฟังเพลง ดูMV คลิปตลกๆ หรือรายการต่างๆก็แค่เข้าแอพ Youtube หรือ ถ้าอยากดูหนังเกาหลีหรือต่างประเทศ อย่าง BoxTV  ก็มีแอพให้โหลด ไว้ดูกัน หรือถ้าเรามีหนังหรือเพลงในเครื่อง ก็ MX Player หรือ VPlayer


9. โทรฟรี & vdo call

แค่ได้ยินว่า โทรฟรี ก็ร้อง ว้าวๆๆ กันแล้วใช่ไหมล่ะ ในแอนดรอยด์ มีแอพโทรฟรี แถมบางแอพสามารถ vdo call กันได้อีกด้วย ผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่หลายแอพด้วยกัน ซึ่งจากที่ลองใช้ดู ความชัดก็ขึ้นอยู่กับสัญญาณอินเตอร์เน็ตของเราและคู่สนทนาค่ะ app แนะนำ ก็จะเป็น Skype ซึ่งขึ้นชื่ออยู่แล้ว การคุยฟรีผ่าน skype เราต้องมีไอดี ของกันและกันก่อน นะ ถ้าเป็นการโทรเข้าเบอร์จะมีการเก็บค่าบริการตามระบบของ skype นอกเหนือจาก skype ก็จะมี Line , Viber , Tango


10. อ่าน-เขียน-แก้ไข ไฟล์เอกสาร

ใน แอนดรอยด์หลายๆรุ่น จะมี ตัว Quick office มาให้เราสำหรับการ อ่าน แก้ไข หรือเขียน ไฟล์ word excel PDF หรืออื่นๆ ได้ หรือ เราสามารถหาแอพดีๆ จาก market ได้อย่างพวก document to go เป็นต้น แค่นี้ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ถ้ามีงานด่วนเข้ามาก็สามารถทำได้ทันที


Tablet

1. ระบบปฏิบัติการ สิ่งแรกที่เราต้องรู้จักและทำความเข้าใจก็คือระบบปฏิบัติการ หลายคนอาจจะงงๆว่าระบบปฏิบัติการคืออะไร ? ระบบปฎิบัติการคือโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ทแวร์ และเป็นโปรแกรมที่เป็นตัวกลางให้โปรแกรมอื่นๆที่อิงกับระบบปฎิบัติการนั้นสามารถทำงานกับฮาร์ทแวร์ได้ โดยระบบปฏิบัติการที่เราคุ้นเคยเช่น Windows ซึ่ง Windows XP, Windows Vista หรือ Windows 7 ต่างๆเหล่านี้ถือเป็นระบบปฏิบัติการตัวนึง และแท็บเล็ตก็จำเป็นที่ต้องมีระบบปฏิบัติการไว้สำหรับใช้งาน ซึ่ง มีระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้งานกันได้แก่

iOS ระบบปฏิบัติการจากค่าย Apple ซึ่งแท็บเล็ตที่ใช้อยู่ก็คือ iPad นั่นเอง และถ้าให้พูดถึงจุดเด่นของ iOS แล้วละก็คงจะเป็นที่ประสิทธิภาพในการทำงานกับฮาร์ดแวร์ และจัดการหน่วยความจำที่ดีถ้าเทียบกับแท็บเล็ทอื่นที่มีหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลกลางเท่ากันแล้ว iOS ยังมีการทำงานที่ดีกว่า ส่วนข้อด้อยเป็นระบบปฏิบัติการตัวเดียวที่ไม่รองรับ Flash (ไม่สามารถแสดงผลได้) และการเชื่อมต่อที่ต้องทำผ่านซอฟท์แวร์ iTune เท่านั้น
Android ระบบปฏิบัติการจากค่าย Google เดิมทีทาง Google ได้พัฒนาขึ้นมาใช้สำหรับมือถือสมาร์ทโฟนซึ่งก็มีบางค่ายได้นำไปปรับปรุงแล้วใส่ในแท็บเล็ต ตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy Tab รุ่นแรกโดยตัวระบบปฏิบัติการที่ใช้นั่นจะเป็น Android Froyo ต่อมาทาง Google ถึงได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่นใหม่ให้รองรับแท็บเล็ตที่มีหน้าจอขนาดใหญ่กว่ามือถือสมาร์ทโฟนโดยตั้งชื่อมันว่า Honeycomb ซึ่งจะมีหลายเวอร์ชั่นด้วยกันดังนี้
3.0 - เป็นเวอร์ชั่นแรกที่ออกมาสำหรับแท็บเล็ตโดยเฉพาะ การทำงานโดยรวมทั้งความเร็วและความลื่นเมื่อเทียบกับ iOS แล้วยังสู้ไม่ได้ แต่จะได้เปรียบและดีกว่า iOS ตรงรองรับ Flash และส่วนการเชื่อมต่อที่ทำได้ง่ายเพียงแค่เสียบเข้ากับเครื่องคอมก็จะมองเห็นเป็นอุปกรณ์อีกตัวนึงสามารถทำงาน copy, paste, delete ไฟล์ต่างๆได้สะดวก
3.1 - มีการปรับปรุงจากเวอร์ชั่น 3.0 ในด้านความเร็วในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อและโอนถ่ายข้อมูลผ่านช่อง USB
3.2 - เพิ่มโหมดการแสดงผลสำหรับแอพพลิเคชั่นบนมือถือให้สามารถแสดงผลบนแท็บเล็ตได้อย่างถูกต้อง และปรับปรุงให้รองรับกับแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการ ขยายหน้าจอ (Zoom)
Windows ระบบปฏิบัติการจากค่าย Microsoft หลายคนอาจจะชินและคุ้นเคยกับการใช้งาน Windows เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งหน้าจอเป็นแบบสัมผัสอีกด้วยก็ช่วยให้แท็บเล็ตน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตัว Windows 7 นั้นยังคงไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้สำหรับแท็บเล็ต บางส่วนจึงอาจจะเล็กเกินไปที่จะใช้นิ้วสัมผัสได้ นอกจากนี้ระยะเวลาการใช้งานก็ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับ iOS, Android และ BlackBerry Tablet OS
BlackBerry Tablet OS ระบบปฏิบัติการจากค่าย RIM เจ้าของมือถือสมาร์ทโฟน BB นั่นเอง โดยระบบปฏิบัติการตัวนี้จะพัฒนามาสำหรับ PlayBook โดยเฉพาะ การทำงานโดยรวมก็ถือได้ว่าลื่นไหลไม่แพ้ iOS นอกจากนี้ยังออกแบบการใช้งานโดยวิธีการสัมผัสต่างๆช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น จุดเด่นอีกอย่างก็คือการทำงานของ Multitasking หรือเปิดแอพพลิเคชั่นหลายตัวพร้อมกันสามารถทำได้ดีกว่าระบบปฏิบัติการตัวอื่นๆ หรือเทียบเท่า Windows ได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม PlayBook จำเป็นจะต้องมีมือถือ BB ถึงจะสามารถใช้งานส่วน เช็คอีเมลล์, รายชื่อ, ปฏิทิน, BBM ได้ และยังไม่รองรับภาษาไทยอีกด้วย
WebOS ระบบปฏิบัติการแบบออนไลน์ นั่นเอง เราสามารถที่จะทำงานต่างๆ ได้โดยผ่าน Web Browser ดังน้ันมี Web Browser ก็สามารถทำงานได้แล้ว ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้อง Save file ลงในฮาร์ดแวร์ และเมื่อแก้ไขงานเสร็จแล้วไฟล์ดังกล่าวจะอยู่ใน WebOS ทำให้สามารถทำงานต่อได้ทุกที่ทุกเวลา จุดนี้น่าจะเป็นจุดแข็งของ WebOS แต่ถ้าไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ทก็ไม่สามารถทำงานได้ จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของ WebOS ทำให้ไม่เป็นที่นิยม จน HP ประกาศเลิกพัฒนาไปในที่สุด
2. ขนาดหน้าจอ แท็บเล็ตในท้องตลาด ณ ตอนนี้มีหลายขนาดให้เลือกซื้อ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานหรือความชอบของแต่ละคน โดยผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ดังต่อไปนี้ คือ

7 นิ้ว - ขนาดไม่ใหญ่มากพกพาสะดวกเหมือนกับเราพกพ็อกเก็ตบุ๊คสักหนึ่งเล่ม
10 นิ้ว - จอใหญ่แสดงผลได้เยอะแต่ขนาดและน้ำหนักก็จะใหญ่และสูงตามไปด้วย

3. น้ำหนัก ถือเป็นปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึงเนื่องจากโดยทั่วไปแล้วเรามักจะถือใช้งานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสมาหลายตัวบอกได้เลยว่าตัวที่มีน้ำหนักประมาณ 700 กรัมจะถือได้ไม่นานเท่าไรนัก และยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงแล้วละก็คงจะถือไม่ไหวอย่างแน่นอนต้องอาศัยการวางบนโต๊ะสลับกับถือเป็นระยะๆแทน หรืออีกวิธีก็คือวางบนตักคงพอใช้งานได้นานขึ้นอีกนิด

4. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แท็บเล็ตส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 2 รุ่นกว้างๆได้แก่ WiFi และ 3G + WiFi การเลือกซื้อเราต้องดูลักษณะการใช้งานของตัวเราเอง
ถ้าเราใช้เฉพาะในบ้านหรือในอาคารเสียเป็นส่วนใหญ่รุ่น WiFi อย่างเดียวก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วเพราะราคาจะไม่สูงมากสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่าย WiFi ภายในบ้านหรือตามสถานที่ต่างๆได้
แต่ถ้าในกรณีที่เราออกข้างนอกบ่อยๆหรือใช้ชีวิตบนรถมากกว่าอยู่ในบ้านคงต้องเป็นรุ่น 3G + WiFi เพราะ 3G จะมีสัญญาณที่ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า (ณ ปัจจุบันอาจจะรองรับเฉพาะในกรุงเทพ) แต่ราคาก็จะสูงกว่ารุ่น WiFi อย่างเดียวประมาณ 2 - 3 พันบาท
หรืออีกกรณีถ้าใครมี MiFi อยู่แล้ว (อุปกรณ์สำหรับกระจายสัญญาณ WiFi โดยเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 3G ราคาตัวอุปกรณ์ตกประมาณ 3 - 4 พันบาท) ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่น 3G + WiFi ก็ได้ซื้อรุ่น WiFi อย่างเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าใครไม่มี MiFi และไม่อยากจะซื้อรุ่น 3G + WiFi ยังมีอีกตัวเลือกก็คือ AirCard เนื่องจากตัวอุปกรณ์มีราคาไม่สูงเพียง 1 - 2 พันบาท แต่ก็จะใช้ได้เพียงแท็บเล็ตที่รันระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้นระบบปฏิบัติการอื่นๆยังคงไม่รองรับ
5. ความจุ ในที่นี้ก็คือพื้นที่เก็บข้อมูลภายในหรือบางที่ก็เรียกว่าหน่วยความจำ มีให้เลือกด้วยกันหลายรุ่นหลายขนาดได้แก่ 16GB/32GB/64GB แต่ราคาก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆรุ่นละ 2-3 พันบาท การเลือกซื้อส่วนใหญ่ไฟล์ที่กินพื้นที่มักจะเป็นไฟล์หนังซึ่งเรื่องนึงก็กินไป 1 - 2GB แล้ว ถ้าใครไม่เก็บไฟล์หนังไว้บนเครื่องเพียงแค่เก็บไฟล์เพลง รูป + แอพพลิเคชั่นนิดหน่อยขนาด 16GB ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ถ้าใครไม่ต้องการมานั่งลบบ่อยๆและมีงบประมาณระดับนึงก็ให้เลือกขนาดความจุที่สูงๆเข้าไว้ครับ

อย่างไรก็ตามแท็บเล็ตบางรุ่นจะมีส่วนเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาหลายรูปแบบซึ่งก็ถือเป็นตัวที่ต้องคำนึงถึงด้วยเหมือนกันเพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อความจุเยอะๆ แต่อาศัยเก็บข้อมูลที่อื่นแทน ตัวอย่างเช่น
ถ้าเครื่องไหนที่มีช่องเสียบการ์ด microSD จะได้เปรียบเพราะสามารถไปเก็บข้อมูลในการ์ดแทนได้
อีกวิธีที่ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานก็คือบริการ cloud หรือกลุ่มเมฆซึ่งเราสามารถนำไฟล์ไปฝากไว้ที่บริการนี้ได้โดยไม่ต้องเก็บไว้ในเครื่อง (ตอนนี้มีเพียง ASUS Eee Pad Transformer เท่านั้นที่มีบริการนี้ให้ใช้งานฟรีในช่วงแรก)
Clear.fi เป็นเทคโนโลยีที่มีเฉพาะแท็บเล็ตของ Acer เท่านั้นโดย Clear.fi จะช่วยให้เราสามารถเล่นไฟล์เพลง, ดูไฟล์หนังและดูรูปโดยที่ไม่ต้องเก็บไฟล์เหล่านั้นลงบนเครื่องเลย เพียงแต่อ่านไฟล์จากเครื่องอื่นผ่านเครือข่าย WiFi แทนและเป็นแบบ Streaming ด้วยไม่ต้องรอก็อปปี้ไฟล์
6. ช่องเสียบ สำหรับ iPad นั้นจะไม่มีช่องเสียบใดๆติดมากับตัวเครื่องต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมถึงจะสามารถใช้งานได้ แต่สำหรับแท็บเล็ต Android และ Windows ส่วนมากจะมีช่องเสียบเพิ่มเติมติดมากับตัวเครื่องเลยทำให้เราไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมใดๆก็ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนหนึ่ง สำหรับช่องเสียบต่างๆบนแท็บเล็ตนั้นมีดังต่อไปนี้

USB / Mini USB / micro USB - สำหรับเสียบ Flash Drive, External Harddisk, เม้าส์, คีย์บอร์ด
HDMI / mini HDMI / micro HDMI - เอาไว้ต่อเอาภาพจากแท็บเล็ตออกจอทีวี
SD / SDHC / microSD - กล้องดิจิตอลหรือกล้องวีดีโอส่วนมากจะใช้การ์ด SDHC หรือ SD ซึ่งเราก็สามารถจะนำไปเสียบเข้ากับแท็บเล็ตที่มีช่องเหล่านี้เพื่อทำการโอนถ่ายข้อมูลได้ทันที หรือถ้าเครื่องไหนมีช่องเสียบ microSD ก็สามารถใช้เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆได้มากกว่าความจุที่มีอยู่ในเครื่อง

7. แอพพลิเคชั่น เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มมิติและประโยชน์ในการใช้งานของแท็บเล็ต ถ้าให้เรียงลำดับตามแอพพลิเคชั่นที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดผมให้แท็บเล็ตที่รันระบบปฏิบัติการ Windows มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ iOS, Android และ BlackBerry Tablet OS

8. ลูกเล่นเพิ่มเติม เนื่องจากหลายๆบริษัทต้องการสร้างความแตกต่างให้กับแท็บเล็ตของตัวเอง บางบริษัทจึงได้มีการเพิ่มเติมฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆให้แตกต่างจากค่ายอื่นๆ ดังเช่น
ฮาร์ดแวร์
คีย์บอร์ด Dock สำหรับแปล่งร่างเป็นเน็ตบุ๊คของ ASUS Eee Pad Transformer
คีย์บอร์ด Dock สำหรับแปล่งร่างเป็นเน็ตบุ๊คของ Acer Iconia Tab W500, W501
ปากกา Magic Pen ของ HTC Flyer
กล้องถ่ายภาพ 3 มิติ ของ LG Optimus Pad
ซอฟท์แวร์
TouchWiz UX ใน Samsung Galaxy Tab 10.1
Clear.fi ใน Acer Iconia Tab A500, A501, W500, W501
โทรได้ Samsung Galaxy Tab รุ่นแรก
9. ราคา ข้อนี้สำหรับผมถือเป็นปัจจัยหลักครับ ตามความคิดของผมยังมองว่าแท็บเล็ตเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์น้อยกว่าโน๊ตบุ๊ค ซึ่งถ้าราคาสูงเกินไปก็ดูจะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และช่วงนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นและทดลองตลาดกันเสียมากกว่าราคาส่วนใหญ่ยังคงสูงอยู่ แต่ถ้าใครตัดสินใจที่อยากจะได้สักตัวมาไว้ใช้งานก็ควรจะเลือกซื้อตัวที่ราคาไม่สูงจนเกินไป

สรุป
แท็บเล็ตไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา การจะซื้อแท็บเล็ตสักตัวอยากให้คำนึงถึงประโยชน์ที่เราจะได้จากมันหรือง่ายๆคือซื้อมาแล้วได้ใช้งานไม่ต้องแปรสภาพไปเป็นที่ทับกระดาษ แต่ถ้าคิดแล้วไม่มีหรือซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้อะไร ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งซื้อจะดีกว่าครับเพราะแท็บเล็ตตัวนึงราคาไม่ถือว่าถูก ควรจะซื้อเมื่อเราต้องใช้งาน แท็บเล็ตถึงจะมีประโยชน์มากที่สุด

ที่มา:http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=5283&filename=inde

Notebook


คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สะดวกในการเคลื่อนย้าย

ประเภทของคอมพิวเตอร์พกพา
1. โน๊ตบุ๊ค (Notebook) - เครื่องโน๊ตบุ๊ค มีจะน้ำหนักประมาณ 2.7 - 3.6 กิโลกรัม
2. สับโน๊ตบุ๊ค (Sub-Notebook) - มีน้ำหนัประมาณ 1 - 2.7 กิโลกรัม ความสามารถจะต่ำกว่าโน๊ตบุ๊ค
3. ปาล์มทอป (Palmtop) - มีขนาดใกล้เคียงกับม้วนวีดีโอเทป ใช้สำหรังาน นัดหมาย บันทึกนามบัตร

สิ่งสำคัญของคอมพิวเตอร์พกพาคือ แบตเตอร์รี่ ซึ่งทำให้สามารถใช้งานในที่ใด ๆ ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว แบตเตอร์รี่จะใช้ได้นานเพียง 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการชาร์ฟไฟอยู่เสมอ

ประเภทของแบตเตอร์รี่
1. นิกเกิลแคดเมียม (NiCd) - มีอายุการใช้งาน 1 - 2 ชั่วโมง ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว และการชาร์จไฟ ต้องรอให้แบตหมดก่อน และโดยเฉพาะสารแคดเมียมในแบตเตอร์รี่ยังมีอันตรายอีกด้วย
2. นิกเกิลไฮตราย (NiMH) - มีอายุการใช้งาน 2- 3 ชั่วโมง แบตฯ สามารถอัดไฟได้ตลอดเวลาตามต้องการ
3. ลิเธียมไออน - มีอายุการใช้งาน 4 - 5 ชั่วโมง แบตฯมีอายุการใช้งานนานที่สุดและราคาก็แพงด้วย

ประเภทของจอภาพ
คอมพิวเตอร์พกพาจะใช้จอภาพ LCD ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับนาฬิกาดิจิตอล
1. จอโมโนโครมแบบ Passive Matrix - จอภาพนี้แสดงได้เพียงสีโทนขาวดำเท่านั้น
2. จอสีแบบ Passtive Matrix - ราคาจะต่ำ และถ้ามองผิดมุมจะมองภาพไม่เห็นด้วย จอภาพชนิดนี้ยังแบ่งได้อีก 2 แบบคือ Dual-Scan Passive Matrix (ดีกว่า) และ Single-Scan Passive Matrix จอภาพ Passive Matrix เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า STN (Super Twist Nematic)
3. จอสีแบบ Active Matrix - จอภาพนี้จะให้ความสว่างและสีที่ดีกว่า มุมมองก็กว้างกว่าด้วย เหมาะสำหรับงานพรีเซ็นเทชั่น จอภพาแบบนี้ บางครั้งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า TFT (Thin Film Transissor)

การ์ดขยายที่ใช้สำหรับคอมฯแบบพกพา
เพื่อเพิ่มความสามารถ เรียกว่า PCMCIA (Personal Computer Memory Card Inernational Association) การ์ด PCMCIA นี้จะมีขนาดใกล้เคียงกับบัตรเครดิต แต่หนากว่า การใช้งานส่วนใหญ่ จะเสียบที่ด้านข้างของตัวเครื่อง
1. PCMCIA Type I - หนาประมาณ 3.3 มิลลิเมตร ใช้สำหรับเพิ่มหน่วยความจำของเครื่อง
2. PCMCIA Type II - หนาประมาณ 5.0 มิลลิเมตร ใช้เป็นการ์ดโมเด็ม การ์ดเครือข่าย หรือการ์ดเสียง
3. PCMCIA Type III - หนาประมาณ 10.5 มิลลิเมตร ใช้เป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ เช่น ฮาร์ดดิกส์แบบเคลื่อนย้าย

ก่อนจะเลือกซื้อ
เพื่อให้ คุณได้ Notebook ที่ถูกใจ มากที่สุด ก่อนอื่น คุณควรจะต้อง ถามใจตัวเอง ก่อนว่า คุณต้องการ Notebook ไปใช้เพื่ออะไร

-เพื่อการพกพา นำไปทำงานนอกสถานที่ หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่ต้องเกี่ยวข้อง กับการเดินทาง และต้องออกไปทำงาน นอก office อยู่บ่อยครั้ง ที่สำคัญ ยังต้องการ เครื่องมือ ที่จะช่วยงานคุณ ได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เห็นที คุณต้อง ลงทุนสักหน่อย เพราะคุณต้องการ Notebook แบบพกพา ซึ่งมี ลักษณะ บางและเบา เป็นพิเศษ แน่นอนว่า ราคาก็คง ต้องพิเศษ ตามไปด้วย แต่หากคุณ คิดว่า ประสิทธิภาพ ไม่ใช่ประเด็นหลัก ลองหันมาดู Notebook แบบ Handheld ซึ่งจะมีขนาดเล็ก เป็นพิเศษ คงจะน่าสนใจ แถมราคา ยังย่อมเยาว์ กว่าอีกด้วย สิ่งที่ลืมไม่ได้ สำหรับ ผู้ที่กำลังมองหา Notebook เพื่อการพกพา ไปทำงาน นอกสถานที่ นั่นคือ อัตรา การบริโภค พลังงาน ที่ต้องต่ำ รวมไปถึง แบตเตอรี่ ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Notebook ที่ใช้ชิป Crusoe ที่มีอายุ การใช้งาน นานถึง 6 - 8 ชั่วโมง เลยทีเดียว ( Fujitsu นำรุ่น Lifebook P-1000 ที่ใช้ Crusoe Chip มาวางขาย ในราคา 74,793 บาท )

-เพื่องาน สมบุกสมบัน นอกสถานที่ คุณสมบัติ ของ Notebook ประเภทนี้ นั่นคือ ความสะดวก ในการพกพา ในขณะเดียวกัน ยังต้องมีตัว Case ที่แข็งแรง อย่างเช่น ทำมาจาก แมกนีเซียม อัลลอยด์ เป็นต้น ที่สำคัญ ยังต้องออกแบบ มาเพื่อกันแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน เป็นพิเศษอีกด้วย ดังนั้น ส่วนประกอบ ต่างๆ โดยเฉพาะ Harddisk จึงต้อง เป็นรุ่นพิเศษ ที่มีคุณสมบัติ Shock Resistant ในขณะเดียวกัน หาก Keyboard ยังสามารถ กันน้ำได้ด้วย ก็จะยิ่ง พิเศษและ รองรับ งานประเภทนี้ ได้ดียิ่งขึ้น
- เพื่องาน Presentation หากคุณ กำลังมองหา Notebook ที่ตอบสนอง ความต้องการ ในการ Presentation นอกสถานที่ แล้วล่ะก็ คงต้องหา Notebook ประสิทธิภาพสูง ดีๆ สักตัวหนึ่ง เพื่อให้ งานนำเสนอของคุณ รื่นไหล ไม่ติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการนำเสนอ เป็นภาพเคลื่อนไหว และเป็นแผ่นงานสามมิติ ผ่านโปรแกรม Presentation อย่าง PowerPoint แล้ว คงต้องหวัง พลังจากเครื่องที่สูง พอสมควร แล้วต้องไม่ลืมด้วยว่า ต้องสามารถ พกพาสะดวก มีขนาดที่เบา รวมไปถึง มีระบบมัลติมีเดีย รองรับครบถ้วน ตั้งแต่ Soundcard, Graphic Card ไปจนถึง ลำโพง คุณภาพเยี่ยม

-เพื่อความบันเทิง หากคุณ เป็นคนหนึ่ง ที่มีเงินเหลือพอ และชอบความเป็นอิสระ และรักสนุก เราคิดว่า Notebook เพื่อความบันเทิง คงเหมาะสม สำหรับคุณ จริงๆ แล้ว Notebook แบบนี้ จัดอยู่ใน ประเภทของ Notebook ระดับ High End เนื่องจาก มีการ ใส่ความสามารถ ต่างๆ เอาไว้ อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ การเล่น MP3, ตอบสนอง การเล่นเกมส์ 3 มิติ ไปจนถึง Drive DVD เพื่อรับชมภาพยนตร์ คุณภาพสูง ซึ่ง เพื่อให้ สามารถ รองรับ การทำงาน ระดับนี้ได้ จึงต้องพึ่งพา CPU ความเร็วสูง ในระดับ Pentium III ตามไปด้วย ซึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ กับอัตรา การบริโภค พลังงาน ในระดับสูง และค่าตัว ที่สูงขึ้น ตามไปด้วย

-เพื่อแทนที่ Desktop จริงๆ แล้ว Notebook ก็สามารถ ทำงานได้ เสมือนหนึ่ง เป็น Desktop PC ตัวหนึ่ง มีผู้คนไม่น้อย ที่เลือกใช้ Notebook แทนที่ Desktop PC เพราะความสะดวก ที่สามารถ ทำงานได้ทั้งที่ทำงาน หรือจะหอบหิ้ว เอางาน ( ใน Notebook ) มาทำต่อที่บ้าน ก็ได้ เราขอแนะนำว่า Notebook ประเภทนี้ ควรมีประสิทธิภาพ ที่สูง สักหน่อย เพื่อความสามารถ ในการรองรับ การทำงาน ได้อย่างเต็มที่ ไม่น้อยหน้า Desktop PC ที่สำคัญ ต้องไม่ลืม ในเรื่องของ Modem / LAN card เพราะคุณจะได้ ต่อ Notebook เข้า LAN ที่ทำงาน หรือต่อเข้ากับ สายโทรศัพท์ เพื่อเชื่อมต่อ อินเตอร์เน็ต ที่บ้านได้ อีกทั้ง เราคิดว่า หากคุณ จะลงทุน ซื้อจอ 17 นิ้ว พร้อม Keyboard กับ เม้าส์ แยกออกมาต่างหาก แล้วต่อ Notebook เข้ากับ Dock Station คงจะดีไม่น้อย เพราะจะช่วยแปลง ให้ Notebook กลายเป็นตัวถัง CPU ที่ต่อเชื่อม กับจอ , คีย์บอร์ด, เม้าส์ เสมือนหนึ่ง นั่งทำงาน อยู่หน้า Desktop PC เลยทีเดียว

เทคนิคการเลือกซื้อ
ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่กำลังจะซื้อ Notebook หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อ Notebook ลองศึกษารายละเอียด เบื้องต้นเหล่านี้ดูก่อน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจให้แก่ท่าน เนื่องจากราคาของ Notebook จะมีราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่อง Desktop ทั่ว ๆ ไป

คุณสมบัติของ Notebook ที่ควรพิจารณา
1. จอภาพ
ควรมีขนาดใหญ่ เพราะยิ่งใหญ่จะยิ่งชัด และควรเป็นจอภาพแบบ TFT
ความละเอียดควรกำหนดได้อย่างน้อย 800 * 600
จำนวนสีที่สามารถกำหนดได้อย่างต่ำควรเป็น 16 บิต

2. แบตเตอรรี่
ควรใช้ ลิเธียมไอคอน เพราะว่ามีอายุการใช้งานนานที่สุดในบรรดาแบตเตอรรี่อื่นๆ

3. หน่วยความจำ
ควรติดตั้งแรมให้มากเท่าที่จะสามารถทำได้ อย่างน้อย 64 MB

4. ฮาร์ดดิกส์
อย่างน้อย 5 GB ขึ้นไป เพราะว่าปัจจุบันโปรแกรมส่วนใหญ่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก

5. ระบบมัลติมีเดีย
หมายถึง CD-Rom หรือ DVD Drive บวกกับ Sound card ส่วนใหญ่เป็นพื้นฐานไปแล้วสำหรับเครื่องคอมฯ รุ่นใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีไว้ เนื่องจากซอร์ฟแวร์ใหม่ ๆ จะบันทึกผ่านทางแผ่น CD

6. โมเด็ม
ห้ามพลาดทีเดียว ถ้าคุณต้องการเล่น internet และต้องการส่ง fax ผ่านเครื่องคอมฯ

7. เน็ตเวิร์คการ์ด
สำหรับเชื่อมระบบเครือข่าย ถ้าคุณมีการใช้งานในระบบเครือข่าย (Network) บางยี่ห้อ บางรุ่นก็แถมมาให้ด้วยครับ

8.คุณสมบัติพิเศษ

-สีสัน : หลังจากที่ Imac ประสบความสำเร็จ กับการนำสีสัน มีใช้ ทำให้ ผู้ผลิต PC หลายราย พยายาม ยืมรูปแบบนี้ มาใช้บ้าง เพื่อตอบสนอง ผู้ใช้ ที่ต้องการสีสัน และความสนุกสนาน ในการทำงาน หลังจาก ที่ต้องทน อยู่กับ ตัวเครื่องสีดำ หรือ สีเงินเมทัลลิก มานาน ดูเหมือนว่า Compaq จะเป็นผู้เล่น รายแรกๆ ที่นำเอา สีสันมาใช้ ใน Notebook ของตน ซึ่งจะพบเห็นได้ในรุ่น Presario 1400 แถมยังโดดเด่น ด้วยความสามารถ ในการถอดหน้ากากสี ได้อีกด้วย นอกจาก Compaq แล้ว ทางค่าย Asus ผู้ผลิต Mainboard ชื่อดัง ที่หันมาเอาดี ด้าน Notebook ด้วย ก็ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มาพร้อมกับสีสันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

-Multimedia : มี Notebook มากมาย ที่พยายาม แปลงตัวเอง จากคอมพิวเตอร์ PC ทั่วไป ให้กลายเป็น สถานีความบันเทิง แบบพกพาได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ หากคุณจะพบว่า Notebook ในหลายๆ รุ่น ได้ถูกอัดแน่น ไปด้วยความสามารถ ในการตอบรับ ความบันเทิง ทั้ง ตั้งแต่เล่นแผ่น DVD ไปจนถึง เป็นเครื่องเล่น MP3 หากคุณเอง เป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชอบ คุณสมบัติเหล่านี้ อย่าลืมดูด้วยว่า ลำโพงที่มาพร้อมกับ Notebook นั้น มีประสิทธิภาพ มากน้อยเพียงใด ง่ายๆ เลยนั่นคือ ให้คุณทดลองฟัง ด้วยตัวคุณเอง เพื่อตัดสินใจ เพราะลำโพง เป็นปัจจัยหลักประการหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความบันเทิง ให้กับ Notebook ของคุณ ทิ้งท้าย ไว้สักนิดว่า หากคุณ ชื่นชอบ คุณสมบัตินี้ล่ะก็ คงไม่เหมาะนัก ที่จะนำไปใช้งาน นอกสถานที่ เพราะอายุการใช้งาน Battery จะสั้นลงถนัดตา จากปกติ 3 - 4 ชั่วโมง เหลือเพียงไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น

-กระเป๋า Notebook : หากคุณ จะหอบหิ้ว Notebook ไปไหนมาไหน โดยไม่มีกระเป๋าใส่ ก็คงไม่ดีนัก ดังนั้น ผู้ขาย จึงมักจะแถมกระเป๋า ใส่ Notebook มาพร้อมด้วย แต่กระเป๋าที่แถมมานี้ ก็ใช่ว่า จะมีคุณภาพที่ดีนัก ส่วนใหญ่แล้ว ไม่แตกต่างจาก กระเป๋าใส่เอกสาร สักเท่าไหร่ สำหรับ กระเป๋า Notebook ที่ดีนั้น ควรจะทำมาจาก วัสดุ ที่แข็งแรง และมีการบุฟองน้ำ หรือวัสดุ ที่ช่วยซับ แรงกระแทก อีกทั้ง ภายในกระเป๋า ควรจะมี ช่องต่างๆ ให้ใส่อุปกรณ์ สำหรับ Notebook ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ แบตเตอรี่สำรอง, ที่ชาร์จแบต, CD-Drive ไปจนถึง ที่ใส่แผ่น CD ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ เพื่อคุณจะได้ มีกระเป๋าแบบ All in 1 ที่มีอุปกรณ์ทุกอย่าง ครบอยู่ในตัว

-การบริการ : อย่านึกว่าไม่สำคัญนะครับ เพราะว่า Notebook ไม่เหมือน Desktop PC อันดับแรกเลย นั่นคือ ด้วยราคาค่าตัว ที่สูงกว่ามาก อีกทั้ง อุปกรณ์ภายในต่างๆ ก็มีความซับซ้อน ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ง่ายๆ หรือทำได้ด้วยตนเอง เหมือน PC ทั่วไป ทำให้คุณ ต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้ขายของคุณ มีบริการหลังการขาย ที่ดีหรือไม่ คุณจะได้ไม่ต้องมานั่ง เสียใจ ในภายหลัง เราชื่นชอบอย่างมาก กับผู้ให้บริการบางราย ที่จะให้ Notebook เครื่องใหม่ มาให้คุณยืมใช้ในทันที หากไม่สามารถ ซ่อมแซมได้ ภายใน 1 วัน ซึ่งช่วยให้ งานของคุณ ไม่หยุดชะงัก ตามไปด้วย

การเลือกซื้อ
1. การเลือกซื้อ Notebook ควรกำหนดคุณสมบัติต่างๆ ไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากการ upgrade จะค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องใช้ชิ้นส่วนเฉพาะรุ่น และราคาชิ้นส่วนก็ค่อนข้างสูงด้วย
2. ราคาของ Notebook เมื่อเทียบคุณสมบัติชิ้นส่วนต่อชิ้นส่วนแล้ว ราคา Notebook จะค่อนข้างสูงกว่า Desktop มาก บางรุ่นสูงถึง 100%
3. อุปกรณ์เสริมสำหรับ Desktop ส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้งานได้กับ Notebook


ที่มา:http://it.excise.go.th/u-notebook.htm

Micro Computer

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC)

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น เช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกะทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า


ที่มา:http://th.wikipedia.org

คอมพิวเตอร์

ความหมายของคอมพิวเตอร์

      คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"


คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 

การทำงานของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ  โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ  Input  Process และ output   ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ


ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)

เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น   ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง   ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ   หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)

เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่
ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม 
นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)

เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้   โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้

ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์

เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า  4 S special ดังนี้

1. หน่วยเก็บ (Storage)
หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็น
จุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย

2. ความเร็ว (Speed)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) 
โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด 
เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน

3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น

4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก  ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

   1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
   2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ  หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
   3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
   4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
   5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
   6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด



MegaBit Per Second(Mbps)

    Mbps หรือ Mbit/s ย่อมาจาก Megabit Per Second คือ หน่วยที่ใช้วัดอัตราความเร็วในการส่งหรือรับข้อมูลต่อ 1 วินาที ซึ่งหมายถึงหนึ่งล้านบิตต่อวินาที เป็นการวัด Bandwidth (การไหลรวมของสารสนเทศในเวลากำหนด) บนตัวกลางโทรคมนาคม ช่วงของ bandwidth ขึ้นกับตัวกลางและวิธีการส่ง ในบางครั้งวัดเป็น Kbps (พันบิต หรือ kilo bits ต่อวินาที) จนถึง Gbps (พันล้านบิต หรือ giga bits ต่อวินาที) ตัวอย่าง Mbps ที่มักพบเห็นได้บ่อย อย่างการวัดความเร็วอินเตอร์ เป็นต้น


ที่มา:http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2166-mbps-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html

3G





        3G มาจากคำว่า 3rd Generation คือ มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อแทนทีระบบ 2G ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน โดย กสทช. จะจัดให้มีการประมูลใบอนุญาต 3G บนคลื่อนความถี่ 2.1 Hz หรือ 2100MHz ในวันนี้ (16 ตุลาคม 2555) เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือในการรับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งสามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย และแข่งขันด้านโทรคมนาคมกับต่างประเทศได้



ที่มา:http://teen.mthai.com/variety/47631.html

E-Commerce

E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้

E-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้
1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์
3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย

ประเภทของ E-Commerce
1.การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2.การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกันเช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ

ข้อดี
1.เปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมง
2.ดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลก
3.ใช้งบประมาณลงทุนน้อย
4.ตัดปัญหาด้านการเดินทาง
5.ง่ายต่อการประชาสัมพัธ์โดย สามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลก

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
2.จำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การดำเนินการด้านภาษีต้องชัดเจน
4.ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต



ที่มา:http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2083-e-commerce-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3.html

การสนทนาแบบออนไลน์

 สนทนาแบบออนไลน์ (IRC หรือ Chat)

ผู้ใช้บริการสามารถคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่นๆ ในอินเตอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน (โดยการพิมพ์เข้าไปทางคีย์บอร์ด) เสมือนกับการคุยกันแต่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของทั้งสองที่ ซึ่งก็สนุกและรวดเร็วดี บริการสนทนาแบบออนลายน ์นี้เรียกว่า Talk เนื่องจากใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Talk ติดต่อกัน หรือจะคุยกันเป็นกลุ่มหลายๆ คนในลักษณะของการ Chat (ชื่อเต็มๆ ว่า Internet Relay Chat หรือ IRC ก็ได้) ซึ่งในปัจจุบันก็ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถใช้ภาพสามมิติ ภาพเคลื่อนไหวหรือการ์ตูนต่างๆ แทนตัวคนที่สนทนากันได้แล้ว และยังสามารถคุยกันด้วยเสียงในแบบเดียวกับ โทรศัพท์ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลบนจอภาพหรือในเครื่องของผู้สนทนาแต่ละฝ่ายได้อีกด้วยโดย การทำงาน แบบนี้ก็จะอาศัย Protocol ช่วยในการติดต่ออีก Protocol นึงซึ่งมีชื่อว่า IRC(Internet Relay Chat) ซึ่งก็เป็น protocol อีกชนิดหนึ่งบนเครือข่ายอินเทอเน็ตที่สามารถทำให้ User หลายคนเข้ามาคุยพร้อมกันได้ผ่านตัวหนังสือแบบ Real time โดยจะมีหลักการคือ
มีเครื่อง Server ซึ่งจะเรียกว่าเป็น IRC server ก็ได้ซึ่ง server นี้ก็จะหมายถึงฮาร์ดแวร์+ซอฟแวร์โดยที่ฮาร์ดแวร ์คือคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นจะต้องมีทรัพยากรระบบค่อนข้างสูงและจะต้องมีมากกว่า 1 เครื่องเพื่อลองรับ User หลายคน
เครื่องของเราจะทำหน้ามี่เป็นเครื่อง Client ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอเน็ตได้แบบธรรมดาโดย ที่ไม่ต้องารทรัพยากรมากนัก และก็ต้องมีโปรแกรมสำหรับเชื่อมต่อเข้า Irc server ได้

พื้นฐานการทำงานของ IRC

เมื่อเครื่องของเราสามรถติดต่อกับ Server ได้แล้ว server นั้นจะมีการแบ่งช่องสนทนาออกเป็นกลุ่มๆ(Channel) หรืออาจจะเรียกว่า ห้องสนทนาก็ได้โดยเมื่อเราเข้าสู่ server แล้วเราจะมีชื่อเรียกเป็นของตัวเอง (Nickname) เมื่อเราพิมข้อความลงไปข้อความนั้นก็จะส่งผ่าน server และไปปรากฏยังเครื่อง Client ของสมาชิกแต่ละคนในห้องนั้น ไม่ใช่แค่ข้อความสั้นๆอย่างเดียวผู้ใช้ IRC ยังสามารถที่จะส่งไฟล์ภาพ เสียง วีดีโอ หรือไฟล์ทุกชนิดกันได้โดยตรง ในปัจจุบัน การเล่น IRC ไม่ได้มีแค่ข้อความธรรมเท่านั้น ยังมีการสนทนา ที่ใช้ protocol IRC เช่นเดียวกันอีกแต่ว่า เราสามารถที่จะสมมุติรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า ทำหน้าตายิ้มแย้ม โกรธ โดยอาจจำลองเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน VR (Virtual Realiity)ซึ่งจะเป็น ภาพ 3 มิติ เราสามรถที่จะเดินเข้าห้อง ออกจากห้อง จับมือ กับผู้ใช้คนอื่นได้ และอื่นๆ อีกมากมายได้ ซึ่งในปัจจบันก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจาก IRC เป็นกิจกรรมที่เปิดกว้างกล่าวคือเป็นใครก็ได้ที่จะเข้ามาร่วมก็ได้รวมทั้งไม่มีขีดจำกัดหรือกฏ เกณฑ์ใดๆมากมาย นัก เพราะฉนั้น IRC จึงเป็นศูนย์รวมที่สามารถรวบรวมผู้คนหลากหลายไม่ว่าจะเป็นวัย อาชีพ ประสบการณ์ต่างๆมาไว้ได้อย่างกลมกลืน แต่ว่าแต่ละคนต่างก็มีความสนใจในการที่จะเข้าช่องสนทนาต่างๆกันไป

 รูปแบบการสนทนาแบบออนไลน์

Netmeeting เป็นโปรแกรมที่มีชื่อมาก เพราะทำให้คนจากซีกโลกหนึ่ง สามารถติดต่อกับอีกซีกโลก ด้วยเสียง จากคอมพิวเตอร์ ซึ่งคล้ายโทรศัพท์ แต่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่อย่างใด และโปรแกรมในลักษณะนี้ ยังเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกับ เครื่องรับภาพ digital ดังนั้นคนที่มีโปรแกรมนี้จะคุยกัน และเห็นภาพของแต่ละฝ่าย จึงทำให้การติดต่อมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพิ่มเติม
บริการนี้ผู้ใช้ต้องไป download โปรแกรมาติดตั้ง แต่ปัญหาที่สำคัญในการติดต่อแบบนี้คือเรื่องของความเร็ว เพราะการติดต่อด้วยเสียง อาจได้เสียงที่ไม่ชัดเจน หรืออาจขาดหายระหว่างการสนทนา หากความเร็วในการเชื่อมต่อ internet ไม่เร็วพอ และจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะเพิ่มการรับ-ส่งภาพ แบบ VDO สำหรับเครื่องที่เชื่อมต่อด้วยความเร็วต่ำ



ICQ บริการนี้เป็น บริการที่เยี่ยมมาก และได้รับความนิยม เพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะผู้ที่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง และมีโปรแกรม ICQ อยู่ในเครื่อง จะสามารถติดต่อกับเพื่อน ที่ใช้โปรแกรม ICQ อยู่ได้อย่างสะดวก เพราะเมื่อเปิดเครื่อง โปรแกรมนี้จะแสดงสถานะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการตรวจสอบไว้ ว่า Online อยู่หรือไม่ เปรียบเสมือนการมี pager ติดคอมพิวเตอร์ไว้ทีเดียว
ได้มีผู้พัฒนาโปรแกรมเสริมอีกมากมาย ให้ ICQ สามารถทำงานได้หลายหลายมากขึ้น และยิ่งแพร่กระจายได้เร็ว ในกลุ่มหนุ่มสาว ที่ต้องการเพิ่ม เพราะจะแสดงสถานะของ เครื่องเพื่อน เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถติดต่อได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องโทรไปถามบ่อย ๆ ว่าเปิดคอมพิวเตอร์หรือยัง เป็นต้น
บริการนี้ผู้ใช้ต้องไป download โปรแกรมาติดตั้ง และเป็นโปรแกรมที่ download ได้ฟรี



IRC บริการนี้คนไทยทุกวัย ชอบกันมาก โดยเฉพาะโปรแกรม PIRC เพราะทำให้สามารถคุยกับใครก็ได้ ที่ใช้โปรแกรม PIRC การคุยกันจะใช้ผ่านแป้นพิมพ์เป็นสำคัญ โดยไม่ต้องเห็นหน้า หรือรับผิดชอบ ต่อสิ่งที่พิมพ์ออกไป อย่างจริงจัง เพราะไม่มีการควบคุมจากศูนย์ที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนมีอิสระที่จะคิด จะส่งข้อมูลออกไป ได้ทุกชาติ ทุกภาษา
ใน IRC ใด ๆ มักจะมีการแบ่งเป็นห้อง ๆ โดยมีชื่อห้องบอกว่า ในห้องนั้นจะคุยกันเรื่องอะไร เช่น "วิธีแก้เหงา" หากใครต้องการคุยถึงวิธีแก้เหงา เข้าไปในห้องนั้น หรือหลาย ๆ ห้องได้ และแสดงความเห็นอะไรออกไปก็ได้ และยังสามารถเลือกคุยกับใครเป็นการส่วนตัว หรือจะคุยให้ทุกคน ที่เปิดหัวข้อนี้รับทราบก็ได้ เมื่อคุยกันถูกคอก็สามารถ ที่จะนัดพบกันตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อนสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือจะนัดคุยกันในคอมพิวเตอร์ ในครั้งต่อไป ในห้องที่กำหนดขึ้นก็ได้ จึงทำให้ทุกเพศทุกวัย ชื่นชอบที่จะใช้บริการนี้อย่างมาก
บริการนี้ผู้ใช้ต้องไป download โปรแกรมาติดตั้ง และเป็น Shareware หากผู้ใช้พอใจ สามารถที่จะลงทะเบียน เพื่อจ่ายเงิน $20 ได้



Webboard

WebBoard คือเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในลักษณะเป็น กระดานสนทนา เป็นกระดานแจ้งข่าวสาร ข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยใช้รูปแบบการแสดงผล HTML ที่นิยมใช้ใน World Wide Web (WWW ) ซึ่ง WebBoard อนุญาตให้ผู้เยี่ยมชมเวปไซต์ และผู้พัฒนาเวปไซต์สามารถตั้งหัวข้อกระทู้ เพื่อประกาศข่าวสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ โดยทั่วไปมักเรียกเว็บบอร์ด(webboard)ว่า บอร์ด  หรือ กระดานข่าวสาร กระดานข่าวสารนั้นยังมีชื่อเรียกอื่นอีกมากมาย อาทิเช่น กระดานสนทนาออนไลน์,เว็บบอร์ด,เว็บฟอรัม,ฟอรัม,เมสเซจบอร์ด,บุลเลตอินบอร์ด,ดิสคัชชันบอร์ด ตัวอย่างในเว็บบอร์ดไทยได้แก่ พันทิป, เอ็มไทย เป็นต้น

กระดานข่าวสารแบ่งได้เป็น 3 ส่วนตามลักษณะการติดต่อระหว่างผู้ติดต่อ คือ
1.ส่วนของ ผู้ใช้ที่เข้าระบบโดยการกรอกชื่อและรหัสผ่าน - ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
2.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบทั่วไปหรือสูงสุด - แผงปุ่มคำสั่งต่างๆ ที่ใช้จัดการกับกระดานข่าวสาร
3.ส่วนของ ผู้ดูแลระบบสูงสุด - ฐานข้อมูลของกระดานข่าวสาร

ประยชน์โของการใช้ Webboard
-เป็นช่องทางในการติดต่อ ประกาศข่าวสาร ข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
-ทำให้เกิดสังคม ในการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ระหว่างกลุ่มผู้เยี่ยมชม
-ผู้พัฒนาโฮมเพจ สามารถใช้เป็นช่องทางในการ ประกาศข่าวใหม่ๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นได้
-ง่ายในการใช้งาน แม้จะเป็นผู้เริ่มต้น เมื่อเทียบกับการใช้ mailing lists หรือ News Group


ที่มา:http://www.mindphp.com/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD/73-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/2075-webboard-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-.html

Search Directories


เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบันทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป

สัดส่วนของผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา (ข้อมูลจาก นิตยสารฟอรบส์ ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548)
1. กูเกิล (Google) 36.9%
2. ยาฮูเสิร์ช (Yahoo! Search) 30.4%
3. เอ็มเอสเอ็นเสิร์ช (MSN Search) 15.7%

นอกจากด้านบน เว็บอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่
- เอโอแอล (AOL Search)
- อาส์ก (Ask)
- เอ 9 (A9)
- ไป่ตู้ (Baidu, 百度) เสิร์ชเอนจิน อันดับ 1 ของประเทศจีน

ประโยชน์ของ Search Engine

 
........ 1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
........ 2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
........ 3. สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์ ์เกี่ยวกับข้อมูล และซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
........ 4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
........ 5. รองรับการค้นหา ภาษาไทย

........ ในโลกยุคอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูล จำนวนมากมาย อย่างนี้เราไม่อาจจะคลิก เพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ
จำเป็นจะต้องอาศัย การค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหา ที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อ ความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหา
ข้อมูล มีมากมายหลายทั้งที่เป็นของคนไทย และต่างประเทศ ความหมาย/ประเภท ของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบน เครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีอยู่
เป็นจำนวนมาก
........ ถ้าเราเปิดไป ทีละหน้าจออาจจะต้องเสีย เวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบการที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็ว จะต้องใช้
เว็บไซต์สำหรับการ ค้นหาข้อมูล ที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่
ผู้ใช้ งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำ หรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่ กำหนด Search Engine แต่ละ แห่งมีวิธีการ
และการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภท ของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวม ข้อมูล
........ ดังนั้น การที่จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อย จะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้ วิธีการหรือ ประเภทของ
Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป การเลือก ใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูล
ที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวาง หรือแคบขนาดไหน แล้ว จึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับ ความต้องการของเรา

   

 เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา (Search Engine) มี ประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไป เนื่องจากข้อมูลข่าวสารบนโลกอินเตอร์เน็ตมีมากมายมหาศาล และเมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลสารสนเทศใดๆ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศที่ผู้ใช้งานต้องการ หรือสรุปได้ดังนี้
........ • ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
........ • สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
........ • สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับ ข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
........ • มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
........ • รองรับการค้นหา ภาษาไทย
........ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาใน รูปแบบของ Search Bar ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเข้าผ่านเว็บไซต์ Search Engine เหล่านั้นโดยตรงแล้ว ตัวอย่าง
Search Bar ที่ขอแนะนำ เช่น Google Search Bar, Yahoo Search Bar เป็นต้น


ที่มา:http://www.clickmedesign.com/article/search-engine.html
ที่มา:http://www.namonpit.ac.th/krutae/internet1/p4-6.htm

World Wide Web (WWW)

วิลด์ไวด์เว็บ บริการข้อมูลข่าวสารแบบสื่อผสม ที่เป็นจุดดึงดูดให้ผู้คนส่วนใหญ่ เข้ามา ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นเครื่องมือช่วยให้เรา สามารถ ค้นรายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบเกือบทุกเรื่อง สามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ใช้งานง่าย สะดวกและรวดเร็ว ทำให้ประหยัดเวลา สามารถเห็นได้ทั้งภาพ และเสียง ทั้งภาพแบบสองและสามมิติ รวมทั้งภาพเคลื่อนไหวอีกด้วย นอกจากนี้ เรายังสามารถ เผยแพร่เอกสารที่เราจัดทำ ไปให้ผู้คนทั่วโลกใช้ผ่านทาง เวิลด์ไวด์เว็บ โดยมีค่าใช้จ่าย ถูกกว่า การตีพิมพ์บนกระดาษ หรือบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เวิลด์ไวด์เว็บ จึงเป็นต้นเหตุสำคัญ ทำให้ สถิติการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้คนทั่วโลก เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรวดเร็ว

1. เวิลด์ไวด์เว็บ คืออะไร
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web หรือ WWW หรือ W3 หรือ Web) คือ บริการค้น
หรือเรียกดู ข้อมูลแบบหนึ่ง ในอินเทอร์เน็ต ข้อมูลในเวิลด์ไวด์เว็บ จะอยู่ในแบบสื่อผสม หรือ
มัลติมีเดีย (multimedia) ที่มีทั้งตัวอักษร รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอ
ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ แต่ละหน้าสามารถ เชื่อมโยงถึงกันได้
เป็นแบบเครือข่ายคล้ายใยแมงมุม จากแหล่งต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก

2. จุดเริ่มต้นของเวิลด์ไวด์เว็บ
ปี ค.ศ. 1990 ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) แห่งสถาบัน CERN (Center
European pour la Recherche Nucleaire) แห่งกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
(เวบไซต์ของ CERN ติดต่อที่ http://www.cern.ch)
ได้คิดค้นวิธีการถ่ายทอดเอกสารข้อมูลที่อยู่ในแบบไฮเปอร์เท็กซ์ ( hypertext)
ซึ่งเป็นเอกสารที่นำเสนอทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ข้อมูลในแต่ละหน้า
สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ มานำเสนอผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เอกสารแบบไฮเปอร์เท็กซ์นี้ เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ เรียกว่า
ภาษา HTML (Hypertext Markup Language)
เอกสารข้อมูลที่เขียนขึ้นด้วยภาษา HTML นี้ ต้องใช้โปรโตคอลแบบพิเศษ ชื่อ HTTP
(Hypertext Transport Protocol) ช่วยในการสื่อสาร และรับส่งข้อมูล
ขณะเรียกใช้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ ในระบบอินเทอร์เน็ต
ในปี ค.ศ. 1993 สถาบัน NCSA (National Center for Supercomputing Application)
แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า เว็บบราวเซอร์ (web browser) ชื่อ
Mosaic ขึ้นมา ทำหน้าที่แปลคำสั่งและข้อมูลที่อยู่ในรูปของเอกสาร HTML
ให้แสดงที่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้อย่างสวยงาม น่าดู
อย่างที่เราพบเห็นบนในปัจจุบัน โปรแกรม Mosaic ถูกแจกจ่าย
ออกไปให้ผู้ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จืงได้กลายมาเป็น โปรแกรมยอดนิยมไปทันที
หลังจากนั้นมา บริษัทซอฟแวร์ชั้นนำต่าง ๆ จึงเริ่มพัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์อื่น ๆ
ออกจำหน่ายจ่ายแจก แก่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก
ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกหาโปรแกรม เว็บบราวเซอร์ มาใช้งานได้หลายโปรแกรม
นอกจากจะใช้บริการดูข้อมูลจากเวิลด์ไวด์เว็บ แล้ว หลายโปรแกรมยังมีความสามารถอื่น ๆ
ด้วย เช่น บริการสื่อสารด้วย E-mail การค้นข้อมูลแบบ Gopher การถ่ายโอนไฟล์ด้วย ftp
เป็นต้น โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้า การใช้ บริการอินเทอร์เน็ตในแบบเก่า ๆ
ที่มีแต่ตัวอักษร ไปเป็นหน้าจอที่มีชีวิตชีวาด้วยสีสันและรูปภาพ
และทำให้ผู้สามารถเข้าสู่บริการอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าเดิมมาก

3. เรื่องราวเกี่ยวกับเวิลด์ไวด์เว็บ
3.1 เว็บเพจและโฮมเพจ
เอกสารข้อมูลเวิลด์ไวด์เว็บ เรื่องหนึ่ง ๆ ใน เว็บไซต์ จะถูกแบ่งเป็นหน้า ๆ
คล้ายหนังสือ เล่มหนึ่ง แต่ละหน้า เรียกว่า เว็บเพจ (web page) ข้อมูลในเวบเพจ
เป็นเอกสารแบบ ไฮเปอร์เท็กซ์ เขียนขึ้นด้วยภาษา HTML แบ่งเป็นสองส่วน คือ
ส่วนที่เป็นตัวข้อมูล และส่วนที่เป็น ตัวเชื่อม (link)
ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงไปยังข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เราเรียกข้อมูลที่มีตัวเชื่อมนี้ว่าเป็น
ไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext)
เว็บเพจหน้าแรกของเอกสารบนเวิลด์ไวด์เว็บ เรียกว่า โฮมเพจ (home page)
ซึ่งเปรียบ เสมือนหน้าแรก หรือหน้าปกของหนังสือ
เป็นส่วนที่ใช้บอกชื่อเรื่องของเอกสารข้อมูล ส่วนสำคัญ ในหน้าที่เป็นโฮมเพจ คือ
หัวข้อเรื่องของเอกสารข้อมูล หรือสารบัญ ที่มีลักษณะเป็นแบบ ไฮเปอร์เท็กซ์
ที่จะเชื่อมโยงไปยัง รายละเอียดที่อยู่ในหน้าอื่น ๆ ต่อไป นอกจากนี้ ก็จะมี
ชื่อเจ้าของโฮมเพจ พร้อมทั้งที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ และอาจจะมีคำชี้แจงเบื้องต้นด้วย
3.2 เว็บเซิร์ฟเวอร์และ เว็บไซต์
เว็บเซิร์ฟเวอร์ (web server) หมายถึง
เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่ให้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ
ซึ่งอาจจะใช้ระบบปฏิบัติการ Unix หรือ Windows NT ก็ได้ และมีโปรแกรมประเภท HTTPD
ทำหน้าที่คอยบริการจัดส่งเอกสารข้อมูล ให้กับผู้ที่ติดต่อขอผ่านมาทางเว็บบราวเซอร์
ในกรณีที่ส่งไปให้ไม่ได้ เช่นมีการขัดข้องทางเทคนิค
เว็บเซิร์ฟเวอร์จะส่งรายละเอียดการขัดข้อง (error message) ให้แทน
โปรแกรม HTTPD ในปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมาย ทั้งที่เป็นฟรีแวร์, แชร์แวร์,
และ โปรแกรมเพื่อการค้า เช่น
- โปรแกรม Purveyor HTTP Server ของสถาบัน European Microsoft
Windows NT Academic Centre (EMWAC)
- โปรแกรม Website ของบริษัท O'Reilly and Associate
- โปรแกรม Apache
เว็บไซต์ (web site) หมายถึงตำแหน่งที่เก็บข้อมูลที่เป็น เว็บเพจต่าง ๆ
ที่เจ้าของระบบ ได้จัดเตรียมไว้บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ แต่ละเว็บไซต์บนเว็บเซิร์ฟเวอร์
มีวิธีการระบุที่อยู่ (address) ของตัวเองไม่ให้ซ้ำกับผู้อื่น วิธีการระบุที่อยู่ของเว็บไซต์
นี้เรียกว่า รหัสสืบค้น (Uniform Resource Locator หรือ URL) ส่วนแรกของ URL
เป็นโปรโตคอล http ที่จะบอกลักษณะ ของข้อมูล ว่าเป็นแบบเวิลด์ไวด์เว็บ
คั่นด้วยเคื่องหมาย :// และส่วนที่สอง ใช้บอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลนั้น ๆ
ซึ่งประกอบด้วยชื่อของเว็บเซิร์ฟเวอร์ และชื่อไฟล์ที่เป็นเว็บเพจ โดยต้องระบุเส้นทางหรือ
ไดเร็กทอรีให้ถูกต้อง เช่น
http://www.sci.buu.ac.th/~wichai/valentine.html
แต่ถ้าไม่ระบุชื่อไฟล์ ก็จะเป็นการเข้าไปยังโฮมเพจของ เว็บไซต์นั้น เช่น
http://www.sci.buu.ac.th/~king72
ตัวอย่าง Web sites น่าสนใจ
http://kanchanapisek.or.th/
http://www.nectec.or.th/
http://www.disney.com/
http://www.microsoft.com/
http://lcweb.loc.gov/
http://www.whitehouse.gov/
http://www.100.hot.com/
http://www.angelfire.com/wi/catholicthai/
http://www.buu.ac.th
3.3 ไฮเปอร์เท็กซ์ ไฮเปอร์ลิงก์ และ ไฮเปอร์มีเดีย
ไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) คือ คำหรือวลีเรืองแสง
หรือมีสีแตกต่างจากข้อความธรรมดา หรือ มีการขีดเส้นใต้ในเอกสารเว็บ
เมื่อเรียกดูผ่านทางเว็บบราวเซอร์ ถ้าใช้เมาส์ชี้ที่ ไฮเปอร์เท็กซ์จะเห็นเป็นรูปมือ
และเมื่อคลิกเมาส์ที่ไฮเปอร์เท็กซ์ โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ จะเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น
ซึ่งอาจจะเป็นจุดอื่นในไฟล์เดียวกัน หรืออาจจะเชื่อมโยงไปยัง ไฟล์เอกสารอื่น หรือ
เว็บไซต์อื่น การเชื่อมโยงดังกล่าว เรียกว่า ไฮเปอร์ลิงก์ (hyperlink)
ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของเอกสารเว็บ เมื่อเรียกดูผ่านทางเว็บบราวเซอร์
ไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) หมายถึง ส่วนที่เพิ่มเติมจากไฮเปอร์เท็กซ์ นั่นคือ
นอกเหนือ จากการเชื่อมโยงข้อมูลในแบบตัวอักษรแล้ว เรายังสามารถเชื่อมโยงไปยัง
ข้อมูลที่เป็นรูปภาพ ภาพถ่าย วิดีโอ เสียง ภาพสามมิติ ภาพเคลื่อนไหว ได้ด้วย
3.4 เวิลด์ไวด์เว็บอยู่ที่ไหน ใครเป็นเจ้าของ
เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการสืบค้นข่าวสารข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ไม่มีใครเป็นเจ้าของโดยเด็ดขาด แต่มีองค์กรที่ชื่อว่า W3 Consortium ตั้งอยู่ที่
Massachusett Institute of Technology (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ CERN
เป็นผู้บริหาร จัดการ และกำหนดรายละเอียด ทางด้านภาษา
และมาตรฐานหรือโปรโตคอลที่ใช้บนเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมี ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี ผู้ก่อตั้งคนหนึ่ง
เป็นผู้ร่วมบริหารอยู่ด้วย
ติดต่อโฮมเพจของ W3 Consortium ได้ที่ http://www.w3.org

4. โปรแกรมเว็บบราวเซอร์
เว็บบราวเซอร์ (web browser) คือโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้
ที่ทำหน้าที่ติดต่อกับ เว็บเซอร์เวอร์ เพื่อขอดูเอกสารข้อมูลเวิลด์ไวด์เว็บ
เมื่อได้รับแฟ้มเอกสารที่ขอไป ก็นำมาแสดงบนจอภาพ เราเรียกรายละเอียดของเอกสารข้อมูล
ที่เว็บบราวเซอร์นำมาแสดงบนจอว่า เอกสารเว็บ (web document)
ในปัจจุบัน มีบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ หลายราย
ได้พัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ออกมาให้ใช้งานกันมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกขณะ เช่น
NCSA Mosaic, Cello, Netscape Navigator, Internet Explorer, HotJava, และ Win Web
เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใช้สามารถโอนถ่าย โปรแกรมเว็บบราวเซอร์
นำมาทดลองใช้ได้ฟรี ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท แต่ก็มีอีกหลายแห่ง ที่แจกให้ใช้ฟรีจริงๆ
เว็บบราวเซอร์ที่กล่าวถึงข้างต้น ล้วนมีความสามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นรูปภาพ
และมีสีสันสวยงามได้ แต่สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลที่เป็นตัวหนังสืออย่างเดียว
ซึ่งจะเรียกดูข้อมูลได้ รวดเร็ว ก็อาจจะเลือกใช้โปรแกรม Lynx
ซึ่งเคยเป็นเว็บบราวเซอร์แบบตัวอักษร ที่มีผู้นิยมมาก ในระยะหนึ่ง
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ของแต่ละบริษัท มีความแตกต่างกันในความสามารถ
และรายละเอียด ปลีกย่อย เช่น ความเร็วในการทำงาน การสิ้นเปลืองหน่วยความจำของเครื่อง
การรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล การรองรับภาษา HTML ในระดับที่ไม่เท่ากัน เป็นต้น
เว็บบราวเซอร์ที่นิยมใช้ กันมากที่สุดในปัจจุบัน 3 โปรแกรม ได้แก่
4.1 NCSA Mosaic เป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์อันดับแรกของโลก
ที่สามารถเรียกดูข้อมูล ที่เป็นรูปภาพ และมีสีสันสวยงาม พัฒนาโดย Natconal Center for
Supercomputing Application (NCSA) มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ในปี ค.ศ. 1993 โปรแกรม
Mosaic เมื่อพัฒนาเสร็จ ก็ถูกแจกจ่าย ให้ผู้ใช้อย่างรวดเร็ว
โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจึงกลายเป็นโปรแกรมยอดนิยมทันที
4.2 Netscape Navigator
เป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน พัฒนาโดยบริษัท Netscape
Communication สามารถอ่านข้อมูลที่สร้างด้วยโปรแกรม HTML, JavaScript, และ JAVA
ได้ สามารถอ่านข้อมูลที่เป็นภาพสองมิติ สามมิติ ภาพเคลื่อนไหว ข้อมูลเสียง และ วิดีโอได้
4.3 Microsoft Internet Explorer เป็นเว็บบราวเซอร์ ที่กำลังได้รับความนิยม เพื่มขึ้น
อย่างรวดเร็ว ผลิตโดย บริษัท Microsoft มีประสิทธิภาพสูงคล้ายกับโปรแกรม Netscape
Navigator เป็นโปรแกรมที่จัดให้มาพร้อมกับโปรแกรม Windows 95

5. โปรแกรม Netscape Navigator
Netscape Navigator เป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
โดยพัฒนา ติดต่อกันมาหลายรุ่นด้วยกัน รุ่นที่เป็นที่นิยมใช้เห็นจะได้แก่ Netscape Navigator
3.x, Netscape Navigator Gold 3.x, และรุ่นล่าสุด Netscape Communicator (รุ่น 4.x)
Netscape Communicator เป็นโปรแกรมชุด ประกอบด้วยหลายๆ โปรแกรม
ที่ช่วยให้ใช้บริการในอินเทอร์เน็ตได้ครบถ้วนสมบูรณ์ จำนวนโปรแกรมแตกต่างกันตามรุ่น
Netscape Communicator รุ่น Standard ประกอบด้วยโปรแกรมหลัก 6 โปรแกรม
ทุกโปรแกรมสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้หมด เราจะเลือกเข้าใช้โปรแกรมใดก่อนก็ได้
- Netscape Navigator โปรแกรมเว็บบราวเซอร์
- Netscape Messenger โปรแกรมจัดการอีเมล์
- Netscape Collabra โปรแกรมจัดการกลุ่มข่าว
- Netscape Conference โปรแกรมประชุมผ่านอินเทอร์เน็ต
- Netscape Composer โปรแกรมสร้างเว็บเพจ
- Netscape Netcaster โปรแกรมดึงขอมูลอัตโนมัติ

6. การใช้ Netscape Communicator
5.1 การเรียกใช้ Netscape Communicator
1. คลิกปุ่ม Start
2. เลือก Programs
3. เลือก Netscape Communicator
4. เลือกโปรแกมที่ต้องการ
5.2 ส่วนประกอบของหน้าต่าง Netscape
เมื่อเลือกใช้โปรแกรม Netscape Navigator โดยทั่วไปจะเป็น Home page
ของ Netscape ที่มีคำชี้แจง และ Links ต่าง ๆ ให้เลือกใช้หลายอย่าง
ส่วนบนของหน้าต่างประกอบด้วย Title bar , Menu bar , และ Tool Bar
ส่วนล่างเป็น Status bar
5.2.1 Menu Bar เป็นที่รวมคำสั่งทั้งหมดที่มีให้เลือกใช้ในโปรแกรม
เมนูทั้งหมด ประกอบด้วยคำสั่ง File, Edit, View, Go, Communicator, และ Help
ในแต่ละเมนู มีคำสั่งย่อย ให้เลือกใช้ตามความต้องการ
5.2.2 Tool Bar เป็นส่วนที่แสดงปุ่มคำสั่งที่ใช้บ่อย ๆ
โดยใช้เมาส์แทนการเรียกจากเมนู Tool bar มี 3 แถบ คือ
Navigation Toolbar เป็นส่วนช่วยจัดการกับเว็บเพจ ประกอบด้วย
Back, Forward, Reload, Home, Search, Stop
Location Toolbar เป็นส่วนที่แสดงตำแหน่งที่อยู่ของเว็บเพจขณะนั้น
ประกอบด้วย Bookmarks และ Location
Personal Toolbar เป็นส่วนช่วยในการแสดงเว็บเพจ ประกอบด้วย
Instant Message, Internet, Lookup, และ New&Cool
5.2.3 Status Bar เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงภาวะการติดต่อ
และการส่งผ่านข้อมูลในระบบ ประกอบด้วย ส่วนแสดงระบบความปลอดภัย
ส่วนแสดงภาวะการติดต่อ และโปรแกรมร่วมของ Netscape
5.3 การไปยังเว็บที่ต้องการ
การไปยังเว็บที่ต้องการ ทำได้หลายวิธี
- คลิกที่ช่อง Location พิมพ์ URL address
ของเว็บไซต์ที่ต้องการติดต่อ แล้วกด Enter
- Netscape จะจัดเก็บ address ที่เคยติดต่อหลังสุด 15 แห่งไว้
เราสามารถเรียกมาใช้ใหม่ได้ จากการคลิกปุ่มสามเหลี่ยมทางขวา ของช่อง Location
- จากเมนู File เลือกคำสั่ง Open Page พิมพ์ URL address
ของเว็บไซต์ที่ต้องการติดต่อ แล้วกด Enter หรือ คลิกปุ่ม Open
5.4 Bookmarks
เมื่อพบเว็บเพจที่ถูกใจ เราจะให้ Netscape ช่วยจดจำตำแหน่งของเว็บ
ในขณะนั้น คล้าย ที่คั่นหน้าหนังสือ เพื่อให้เราสามารถกลับมาดูได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
รวมทั้งการจัดระเบียบใหม่ หรือแก้ไขด้วย
5.4.1 การคั่นหน้าเว็บเพจที่ถูกใจ ทำได้ดังนี้
1. จากเมนู Communicator เลือกคำสั่ง Bookmarks เลือกคำสั่ง Add
Bookmark
หรือ 2. คลิกที่ปุ่ม Bookmarks บน Location Toolbar แล้วเลือกคำสั่ง Add
Bookmark
หรือ 3. คลิกขวาที่พื้นฉากหลังของเว็บเพจนั้น แล้วเลือกคำสั่ง Add Bookmark
5.4.2 การดูเว็บเพจที่คั่นหน้าไว้ ทำได้ดังนี้
1. จากเมนู Communicator เลือกคำสั่ง Bookmarks
แล้วเลือกเว็บเพจที่ต้องการดู
หรือ 2. คลิกที่ปุ่ม Bookmarks บน Location Toolbar
แล้วเลือกเว็บเพจที่คั่นหน้าไว้
หรือ 3. เลือกเว็บไซต์ที่ Netscape เลือกไว้ให้เป็นกลุ่ม
5.5 การเก็บสิ่งที่ต้องการลงดิสค์
เราสามารถเก็บส่วนต่าง ๆ ในเว็บเพจ ที่เราถูกใจไว้ โดยบันทึกลงในดิสก์
ที่เครื่อง ของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเนื้อความ รูปภาพ หรือเสียง
หรือเราอาจจะเก็บทั้งเว็บเพจเลยก็ได้
5.5.1 การเก็บเนื้อความ
หากต้องการเก็บเฉพาะส่วนของเนื้อความ ให้กระทำดังนี้
1. จากเมนู File เลือกคำสั่ง Save As
2. เลือกไดร์ฟและโฟลเดอร์ที่จะจัดเก็บ
3. กำหนดชื่อไฟล์
4. เลือกปุ่ม Save
ไฟล์ที่ได้จะมีชนิดเป็น .html
5.5.2 การเรียกเนื้อความที่บันทึกไว้มาอ่าน
1. จากเมนู File เลือกคำสั่ง Open Page
2. เลือกปุ่ม Choose File
3. เลือกชื่อไฟล์ที่บันทึกไว้
4. เลือกปุ่ม Open
5. เลือกปุ่ม Open อีกครั้ง
ไฟล์ ที่เรียกดู จะมีเฉพาะส่วนของเนื้อความเท่านั้น ส่วนที่เป็นรูปภาพ
จะแสดงด้วย สัญลักษณ์แทน
5.5.3 การเก็บรูปภาพ
ส่วนของรูปภาพที่อยู่ในเว็บเพจ จะเป็นไฟล์รูปภาพชนิดต่าง ๆ
ที่ผนวกอยู่กับ เว็บเพจนั้น ซึ่งเราสามารถเลือกบันทึกเก็บไว้ได้
1. คลิกขวาที่รูปภาพที่ต้องการ
2. เลือกคำสั่ง Save Image As
5.5.4 การเก็บพื้นฉากหลัง
1. คลิกขวาที่พื้นฉากหลังที่มีรูปที่ต้องการ
2. เลือกคำสั่ง Save Background As
5.5.5 การเก็บทั้งเว็บเพจ
เราสามารถจัดเก็บเว็บเพจทั้งหน้า ทั้งส่วนของเนื้อความและรูปภาพ
รวมทั้ง พื้นฉากหลัง ไว้พร้อม ๆ กันได้
1. ไปยังเว็บเพจที่จะจัดเก็บ
2. จากเมนู File เลือกคำสั่ง Edit Page จะเข้าสู่ Netscape
Composer
3. จากเมนู File เลือกคำสั่ง Save As
4. เลือกไดร์ฟและโฟลเดอร์ที่จะจัดเก็บไฟล์ และตั้งชื่อไฟล์ตามต้องการ
5. เลือกปุ่ม Save
Netscape จะเริ่มทำการจัดเก็บไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในเว็บเพจนั้น
เมื่อต้องการกลับไปยังบราวเซอร์ ให้คลิกที่ปุ่ม Preview
บนแถบเครื่องมือ

7. การค้นเรื่องที่เราต้องการบน WWW
เนื่องจากมีข้อมูลและรายละเอียดมากมายมหาศาล ในทุกหัวข้อเรื่องบน WWW
จึงมีผู้จัดสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาทำหน้าที่ค้นข้อมูล เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
ให้ค้นพบข้อมูลและรายละเอียดที่ต้องการได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
เว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ค้นข้อมูลมี 2 ประเภท คือ แบบ search engine และแบบ directory
assistance
7.1 Search Engine
Search engine เป็นเว็บเพจที่อยู่ในรูปแบบฟอร์มให้เรากรอกคำ วลี
หรือประโยค ที่เราต้องการค้น แล้วจึงกดปุ่ม Search จากนั้น search engine ก็จะทำงาน
และนำผลการค้นพบ หรือไม่พบ ส่งกลับมาให้เราทราบ สำหรับการทำงานของเว็บไซต์
ซึ่งทำหน้าที่เป็น search engine คือ จะมีโปรแกรมที่เรียกว่า crawlers หรือ robots หรือ
spider ทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อ URL ของ เว็บเพจ และของบริการประเภทอื่นบน
อินเทอร์เน็ต เช่น Gopher site, News groups ฯลฯ มาเก็บไว้ ในฐานข้อมูลของตน
เมื่อโปรแกรมดังกล่าวพบเว็บเพจใหม่ ที่ยังไม่มีในฐานข้อมูล ก็จะเพิ่มข้อมูล ใหม่
เข้าไปอัตโนมัติ ทำให้มีข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ
Search engine เป็นโปรแกรมทำหน้าที่ค้นรายละเอียดบนเวิลด์ไวด์เว็บ
และอินเทอร์เน็ต ได้รวดเร็ว ในทางปฏิบัติ เราควรใช้ search engine หลายโปรแกรมร่วมกัน
เนื่องจากแต่ละโปรแกรม มีวิธีสืบค้นข้อมูลต่างกัน การใช้ search engine
มีประโยชน์ในกรณีที่เราต้องการค้นเฉพาะเจาะจง
Search Engine ที่นิยมใช้แพร่หลาย ได้แก่
Alta Vista http://www.altavista.digital.com/
Exite http://www.excite.com/
HotBot http://www.hotbot.com/
Infoseek http://guide.infoseek.com/
Lycos http://www.lycos.com/
Open Text http://www.opentext.com/
Web Crawler http://www.webcrawler.com/
7.2 Directory assistance
Directory assistance หรือ subject tree
เป็นโปรแกรมจัดระเบียบข้อมูลบนเวิลด์ไวด์เว็บ ในรูปหัวเรื่องใหญ่ เช่น Arts and
Humanities, Business, Economy, Government ฯลฯ แต่ละกลุ่มจะมีหัวเรื่องรอง
เชื่อมโยงไปยังรายละเอียดที่เป็นกลุ่มย่อยเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ต่อไป
คล้ายกับการแตกกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ โปรแกรมที่นิยมใช้ คือ
Yahoo (http://www.yahoo.com)
CERN's Virtual Library (http://www.w3.org/vi/)
Einet Galaxy (http://www.einet.net)
Starting Point (http://www.stpt.com)
Yahoo (Yet Another Hierarchically Odiferous Oracle) พัฒนาโดย David
Filo และ Jerry Chih-Yuan Yang ที่ Standford University
ผู้ใช้เวิลด์ไวด์เว็บสามารถส่งรายละเอียดเกี่ยวกับ เว็บเพจของตนไปให้ Yahoo
ซึ่งมีเครื่องอัตโนมัติคอยติดตามหารายละเอียดใหม่ มาเพิ่มตลอดเวลา ทำให้ Yahoo
มีฐานข้อมูลใหญ่ ให้รายละอียดเกี่ยวกับบริการอินเทอร์เน็ต (WWW, Gopher, FTP sites and
Usenet Newsgroup) มากกว่า 80,000 แห่ง จัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ใน 14 หัวข้อ เช่น Arts,
Computers, Health, Recreation ฯลฯ

8. บริการอื่น ๆ ใน Netscape
โปรแกรม Netscape นอกจากให้บริการค้นหาข้อมูลแบบเวิลด์ไวด์เว็บแล้ว
ยังสามารถใช้ ในการติดต่อกับเซอร์เวอร์ที่ให้บริการแบบอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น Gopher, FTP,
Telnet, E-mail, และ Usenet เป็นต้น
ในการเลือกใช้บริการอื่น ๆ ให้พิมพ์รหัส URL ในช่อง Location
ตามประเภทบริการนั้น ๆ เช่นเดียวกับการใช้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ เช่น
gopher://gopher.msu.edu
ตัวอย่าง Gopher Sites ที่น่าสนใจ
gopher://gopher.ebone.net
gopher://gopher.sunet.se
gopher://info.anu.edu.au
gopher://tolten.puc.cl
gopher://gan.ncc.go.japan
gopher://chronicle.merit.edu/
ตัวอย่าง Anonymous FTP Servers ที่น่าสนใจ
ftp://ftp.nectec.or.th
ftp://ftp.funet.fi
ftp://ftp.cs.ruu.nl
ftp://schoolnet.carleston.ca
ftp://bonsai.pass.wayne.edu
ftp://nic.switch.ch
ตัวอย่าง Newsgroups ที่น่าสนใจ
news://comp.graphics.animation
news://misc.education.language.english
news://news.groups.questions
news://rec.arts.cinema
news://sci.med.aids
news://soc.singles
news://talk.environment

9. เพิ่มพลังให้ Netscape
เพื่อให้เราสามารถดูข้อมูลที่เป็นมัลติมีเดียในเว็บเพจ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งภาพ และเสียง Netscape จำเป็นต้องมีไฟล์ควบคุมการแสดงผลให้ครบถ้วน
ตามรูปแบบของไฟล์ภาพ และเสียงที่ถูกสร้างไว้ ในส่วนที่เป็นไฟล์ควบคุมที่เราต้องติดตั้ง
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ Netscape นั้น มี 2 แบบ คือ Plug-in และ Helper
9.1 Plug-in
Plug-in เป็นไฟล์ควบคุมการแสดงผล ซึ่งเป็นภาพหรือเสียง
หรือทั้งภาพและเสียง ที่ฝังตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม Netscape
ที่จะต้องติดตั้งเพิ่มไว้ก่อน และเมื่อเราเรียกใช้ โปรแกรม Netscape
ไฟล์เหล่านี้จะถูกเรียกใช้ได้โดยอัตโนมัติ และพร้อมใช้งานได้ทันที
Plug-in ที่น่าสนใจ และควรติดตั้งไว้ในระบบของเรามีอยู่มากมาย เราอาจจะ
ดาวน์โหลดและติดตั้งไว้ใช้ เช่น
-Shockwave เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการสร้างไฟล์ภาพเคลื่อนไหว
ที่มีเสียงประกอบ ในลักษณะของภาพยนตร์ และจะต้องมีไฟล์ควบคุมของ Shockwave
ในการแสดงผล Shockwave สามารถแสดงผลได้รวดเร็ว ปัจจุบัน
นิยมใช้กันมากในเว็บไซต์ของค่ายหนังต่าง ๆ Shockwave ผลิตโดยบริษัท Micromedia
ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ http://www.micromedia.com
- QuickTime เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการสร้างไฟล์ภาพเคลื่อนไหว
ที่มีเสียงประกอบ ในลักษณะของภาพยนตร์ และต้องมีไฟล์ควบคุมของ QuickTime
ในการแสดงผลภาพ โดยต้องอ่าน ข้อมูลจนจบไฟล์ จึงจะเริ่มแสดงผล Netscape มีโปรแกรม
QuickTime ติดตั้งเป็น plug-in มาให้แล้ว
- RealPlayer
เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้การดูภาพและฟังเสียงได้อย่างรวดเร็ว โดยมี RealVideo
ช่วยแสดงทั้งภาพและเสียง และ RealAudio ที่แสดงเฉพาะเสียง ดาวน์โหลดได้ที่ เว็บไซต์
http://www.real.com หรือจาก link ของเว็บไซต์ทีวีช่อง 5 ที่ http://www.tv5.co.th
9.2 Helper Applications
Helper หมายถึงโปรแกรมที่ช่วยให้เว็บบราวเซอร์เปิดไฟล์มัลติมีเดีย ที่
เว็บบราวเซอร์ ไม่รู้จักและไม่สามารถแสดงผลได้ ให้เปิดได้อัตโนมัติ Helper
เป็นโปรแกรมที่อยู่ภายนอก และแยกอยู่ต่างหากจากเว็บบราวเซอร์ ในคอมพิวเตอร์ของเรา
ซึ่งต่างจากโปรแกรม plug-in
จะขอดูโปรแกรม helper ที่ติดตั้งไว้ในโปรแกรม Netscape ได้ดังนี้
1. เข้าสู่ส่วน Navigator
2. จากเมนู Edit เลือกคำสั่ง Preferences
3. ในกลุ่ม Navigator เลือก Applications

10. การใช้ E-mail ใน Netscape
โปรแกรม Netscape ใช้รับ-ส่ง E-mail ได้ โดยมีฟังก์ชันการทำงานอยู่ในโปรแกรม
Netscape Messenger แต่ก่อนใช้งาน ต้องกำหนดค่าต่างๆ ก่อน
10.1 การกำหนดชื่อ Server และ User Name
1. จากเมนู Edit เลือกคำสั่ง Preferences
2. เลือกคำสั่ง Mail & Groups
3. เลือกหัวข้อ Mail Server
- ในช่อง Mail server user name เติม user name
- ในช่อง Outgoing mail (SMTP) server
เติมชื่อเครื่องบริการส่งจดหมาย
- ในช่อง Incoming mail server
เติมชื่อเครื่องบริการรับส่งจดหมาย
- ที่หัวข้อ Mail server type ให้เลือก POP3 และเลือก Leave
messages on server
4. ในหัวข้อ Identity ใช้เพื่อกำหนดข้อมูลเกี่ยวกับตัวเรา
- ในช่อง Your name เติมชื่อผู้ใช้ (ชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็ได้)
- ในช่อง Email address เติม Email address ของเรา
- ในช่อง Reply-to address ไม่ต้องเติม
5. เสร็จแล้วคลิกปุ่ม OK
10.2 การเรียกใช้ Netscape Messenger
1. ในโปรแกรม Netscape จากเมนู Communicator เลือกคำสั่ง
Messenger Mailbox
หรือ 2. ในโปรแกรม Netscape คลิกที่ ไอคอน Mailbox บน Status bar
ด้านล่างขวาของจอ
10.3 ส่วนประกอบของหน้าต่าง Messenger Mailbox
1. Menu bar เป็นส่วนที่แสดงคำสั่งต่างๆ เหมือนใน Netscape
Communicator
2. Tool bar เป็นส่วนที่แสดงปุ่มคำสั่งที่ใช้บ่อยๆ เหมือนใน Netscape
Communicator
3. ตู้จดหมาย ที่ประกอบด้วย Inbox, Unsent Messages, Drafts,
Sent, Trash, และ Samples เมื่อคลิกที่ตู้จดหมายใด
จะแสดงรายชื่อจดหมายที่มีอยู่ด้านล่างลงมา และ เมื่อคลิกที่ จดหมายฉบับใด
จะแสดงข้อความในจดหมายนั้นด้านล่างลงมา
4. Staus bar
เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงสถานะการรับ-ส่งจดหมายขณะนั้น
10.4 การอ่านจดหมาย
1. เลือกตู้จดหมายที่ต้องการ (ปกติจะเป็น Inbox คือจดมายที่ได้รับ)
จะมีรายชื่อจดหมายที่มีอยู่ด้านล่างลงมา
2. คลิกที่จดหมายฉบับที่ต้องการอ่าน
จะเห็นข้อความในจดหมายนั้นด้านล่างลงมา
10.5 การส่งจดหมาย
1. เลือกคำสั่ง New จากเมนู File แล้วเลือก Message หรือ คลิกที่ ไอคอน
New Msg บน Tool bar จะได้หน้าต่าง Composition ใช้ส่งจดหมาย
2. คลิกที่ปุ่ม To เพื่อเลือกลักษณะการส่ง
To: ส่งถึงผู้รับคนเดียว
Cc: สำเนาถึงผู้รับหลายคน
Bcc: สำเนาส่งไม่ระบุผู้รับ
Group: ส่งไปยังกลุ่มข่าว
Reply To: ตอบจดหมายกลับ
Followup To: ส่งต่อไปยังผู้อื่น
3. ป้อนชื่อเรื่องจดหมายในช่อง Subject:
4. พิมพ์ข้อความของจดหมายที่จะส่งในกรอบด้านล่าง
5. คลิกปุ่ม Send บน Tool bar จดหมายก็จะถึงผู้รับตามต้องการ
โปรแกรมจะนำจดหมายนี้ไปเก็บไว้ในตู้จดมาย Sent
10.6 การตอบจดหมาย
การตอบจดหมาย ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. คลิกที่จดหมายที่จะตอบจากหน้าต่าง Messenger Mailbox
2. คลิกที่ปุ่ม Reply บน Tool bar จะปรากฎหน้าต่าง Composition
เช่นเดียวกับการส่ง จดหมาย
3. ให้เลือกว่าจะตอบกลับไปยังผู้ใดโดยคลิกที่ Reply to Sender
4. ไม่ต้องป้อน address ของผู้รับ และ Subject
5. พิมพ์จดหมายที่ต้องการตอบ
6. คลิกปุ่ม Send บน Tool bar
10.7 การส่งจดหมายต่อไปยังผู้อื่น
จดหมายบางฉบับ เจ้าของอาจจะต้งการให้เราส่งต่อไปยังคนอื่น ทำได้ดังนี้
1. คลิกที่จดหมายที่จะส่งต่อ
2. คลิกที่ปุ่ม Foward บน Tool bar จะปรากฎหน้าต่าง Composition
เช่นเดียวกับการส่ง จดหมาย
3. ป้อน address ของผู้ที่จะส่งต่อ
4. คลิกปุ่ม Send บน Tool bar
10.8 การแนบไฟล์ไปกับจดหมาย
นอกจากการส่งจดหมายแล้ว เราย้งสามารถแนบไฟล์ไปกับจดหมายได้ด้วย
อาจจะเป็น ไฟล์เอกสาร รูปภาพ หรือเว็บเพจ
1. เมื่อพิมพ์เขียนจดหมายเสร็จเรียบร้อยตามปกติแล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม Attachment
บน Tool bar หรือจะเลือกคำสั่ง Attach จากเมนู File ก็ได้
2. ถ้าจะแนบไฟล์ ให้เลือก File แล้วเลือกชื่อไฟล์ที่ต้องการ แล้วคลิก Open
3. ถ้าจะแนบไฟล์เว็บเพจ ให้เลือกเว็บเพจ
แล้วพิมพ์ตำแหน่งเว็บเพจที่ต้องการส่ง แล้วคลิก OK
4. คลิกปุ่ม Send บน Tool bar
10.9 การลบจดหมายทิ้ง
1. เลือกตู้จดหมายที่ต้องการ (จาก Inbox หรือ Sent)
จะมีรายชื่อจดหมายที่มีอยู่ด้านล่างลงมา
2. คลิกที่จดหมายฉบับที่ต้องการลบทิ้ง
3. จากเมนู File เลือกคำสั่ง Delete Message หรือ คลิกที่ไอคอน Delete บน
Tool bar
4. กดปุ่ม Delete บนแป้นพิมพ์
โปรแกรมจะนำจดหมายนั้นลงถังขยะ Trash ซึ่งยังนำกลับมาใช้ได้
ถ้าจะลบจริงๆ ให้ทำขั้นตอน 1-4 อีกครั้ง โดยเลือก Trash แทน Inbox
10.10 Address Book
เพื่อความสะดวก เราอาจจะมีสมุดจดที่อยู่ของผู้ที่เราต้องติดต่อบ่อยๆ
ห้เรียกใช้ได้ทันที
10.10.1 การจดที่อยู่ เมื่อได้รับจดหมายของผู้ใด
เราอาจเก็บที่อยู่ของผู้นั้ได้เลย ดังนี้
1. คลิกที่จดหมายฉบับที่ต้องการเก็บที่อยู่
2. จากเมนู Message เลือกคำสั่ง Add to Address Book แล้วเลือก
Sender
3. เติมชื่อจริง ชื่อเล่น และรายการลงในช่องที่กำหนดตามต้องการ
4. กดปุ่ม OK
10.10.2 การนำที่อยู่จาก Address Book มาใช้
เมื่อต้องการส่งจดหมายถึงผู้ที่เรามีที่อยู่ใน Address Book ให้ทำดังนี้
1. เข้าสู่หน้าต่าง Composition ที่ใช้ส่งจดหมายตามปกติ
2. คลิกที่ปุ่ม Address บน Tool bar
3. เลือก Address ของผู้ที่ต้องการ
4. คลิกที่ปุ่ม To หรือ Cc หรือ Bcc เพื่อเลือกลักษณะการส่ง
5. คลิกปุ่ม OK
10.10.3 การเพิ่มที่อยู่ใน Address Book โดยตรง
1. จากเมนู Communicator เลือกคำสั่ง Address Book
2. จากเมนู File เลือกคำสั่ง New Card หรือ คลิกที่ไอคอน New Card
บน Tool bar
3. ป้อนรายการลงในช่องที่กำหนดตามต้องการ
4. กดปุ่ม OK



ที่มา:http://www.informatics.buu.ac.th/~wichai/101course/Internet/www.htm

หลักการทำงานและประโยชน์ของFile Tranfer Protocol(FTP)

วิธีการทำงานของ FTP 
Ftp ทำงานในแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์ โดยพัฒนาขึ้นตามโปรโตคอลพื้นฐาน TCP ซึ่งจะต้องมีการติดต่อเพื่อจองช่องสื่อสาร (Connection Establishment) ก่อนทำการสื่อสารจริง ซึ่งเรียกว่าเป็นการติดต่อแบบที่ต้องขอเชื่อมต่อก่อน (Connection - Oriented) ในการใช้งาน FTP เพื่อเริ่มการติดต่อสื่อสารนั้น จะต้องระบุหมายเลข IP ปลายทาง และต้องผ่านการแจ้งรหัส Login และ Password ของเซิร์ฟเวอร์ที่จะติดต่อก่อนจึงจะเข้าใช้งานได้
ข้อมูลของ FTP ที่สื่อสารระหว่างกันมี 2 ประเภทคือ

• ข้อมูล(Data) หมายถึงข้อมูลต่างๆที่ต้องการรับส่ง รวมทั้งไฟล์ที่รับมาจากเซิร์ฟเวอร์ หรือส่งมาจาก ไคลเอนต์แล้วไปเก็บที่เซิร์ฟเวอร์ 
• ข้อมูลคำสั่ง (Command) FTP จะมีคำสั่งที่ใช้สั่งงานต่างๆ เช่น dir เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงชื่อไฟล์หรือไดเรคทอรีในเครื่องเซิร์ฟเวอร์
หรือ get ใช้โหลดไฟล์มาที่เครื่องไคลเอนต์ผ่านโปรแกรม FTP แล้วโปรแกรมจะส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อทำงาน และแจ้งผลการทำงานกลับมายังไคลเอนต์ ซึ่งผลการทำงานนี้จะนำหน้าด้วยตัวเลข 3 หลัก เป็นรหัสที่ใช้แสดงสถานะการทำงานภายในของ FTP และต่อด้วยข้อความที่เป็นเท็กซ์ต่อท้าย ซึ่งก็คือผลการทำงานหรือคำอธิบายต่างๆ โดยที่ FTP มีกระบวนการภายในที่จะตรวจสอบได้ว่าข้อมูลที่จะรับส่งนี้เป็นประเภทคำสั่งไม่ใช่ตัวข้อมูลที่ต้องการจะโอนย้าย การที่ FTP สามารถแยกแยะข้อมูลจริงออกจากข้อมูลที่เป็นคำสั่งได้นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่การทำงานของโมดูลใน FTP ที่เรียกว่าโปรโตคอล (Protocol Interpreter Module หรือ PI) ซึ่งทำหน้าที่รองรับการทำงานคำสั่งต่างๆของ FTP และในส่วนของข้อมูลที่รับส่งนั้นจะเป็นหน้าที่ของโมดูลโอนข้อมูล (Data Transfer หรือ DT) ซึ่งโมดูลทั้งสองนี้จะต้องทำงานอยู่ทั้งในเครื่องที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ 
   ส่วน Shareware หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ผู้ผลิตแจกให้ลองไปใช้ดูก่อน และเมื่อใช้แล้วพอใจจะนำไปใช้จริงก็ค่อยส่งเงินมาชำระทีหลัง ถ้าไม่นำไปใช้จริงก็ไม่ต้องส่งเงินมาชำระ ผู้ผลิต Freeware และ ผู้ผลิต Shareware จะทำการส่งซอฟต์แวร์ของตนเองที่ต้องการแจกจ่ายไปไว้ที่คอมพิวเตอร์ที่เป็น ftp server และใครก็ตามที่สนใจจะลองนำไปซอฟต์แวร์ของผู้ผลิตไปใช้ดูก็ให้ไปทำการ download จากคอมพิวเตอร์ที่เป็น ftp server เครื่องนั้นมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง ในบางกรณีถ้าท่านมีข้อมูลที่น่าสนใจและต้องการเผยแพร่ ท่านก็สามารถส่งข้อมูลนั้นไปไว้ที่ ftp server ได้

ประโยชน์

ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันมากในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต ด้าน การตลาด การบริหาร การจัดการ และด้านที่ขาดไม่ได้ด้วยเช่นกัน คือ ด้านการสื่อสาร ซึ่งแต่ละธุรกิจมีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า การติดต่อสื่อสารภายในหรือระหว่างบริษัท ซึ่ง FTP
มีส่วนช่วยอย่างมากในการสื่อสารต่างๆ FTP จะช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น แต่ละบริษัทหรือหน่วยงานสามารถมีข้อมูลมากมายหลายรูปแบบที่ต้องการสื่อสารไปยังแหล่งอื่น หรือแม้แต่ต้องการข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากแหล่งอื่นเข้ามาใช้ เช่น ข้อมูลข่าวสารประจำวัน บทความ ข้อมูลทางสถิติ ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น การจะเดินทางไปเอาข้อมูลต่างๆ เองก็ถือเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ในเมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือแล้ว FTP จะเป็นตัวช่วยให้การได้รับข้อมูลเหล่านี้สามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้นเพียงอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น ผู้ใช้งานสามารถใช้ FTP ในการโอนข้อมูลจำนวนมากจากแหล่งที่อนุญาต ให้ใช้ได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นแหล่งบริการ FTP ซึ่งมักเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆอยู่มาก และเปิดบริการทั่วไป เพียงแค่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเข้าไปใช้บริการคัดลอกแฟ้มข้อมูลต่างๆ มาใช้งาน


ที่มา:http://www.digihub.co.th/knowledgebase.php?action=displayarticle&id=621

หลักการทำงานและประโยชน์ของ (E-Mail)

ระบบการทำงานของอีเมลล์
          อีเมลเป็นการส่งข้อความในรูปของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์  จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
ไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยการส่งผ่านข้อความดังกล่าว จะถูกส่งผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์ (Mail Server)  ผ่านไปทางอินเตอร์เน็ต  จากนั้นข้อมูล ็จะถูกนำไปเก็บไว้ในเมลบ็อกซ์ของผู้รับที่เราส่งไป  การส่งอีเมล  ก็จะประกอบไปด้วย  3  ส่วน  ที่สำคัญ  ได้แก่
         1.  ในการส่งอีเมล เราจะต้องทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อเข้าไปใช้งานเมลเซิร์ฟเวอร์ โดยจะมีโปรโตคอลที่ใช้ในการส่งอีเมล  ก็คือ  SMTP-Simple Mail Transfer Protocol
         2.  การส่งข้อมูลผ่านเซิร์ฟเวอร์  หลังจากที่เราได้เขียนข้อความในอีเมลเรียบร้อยแล้ว  คอมพิวเตอร์ก็จะส่งอีเมล ไปยังเซิร์ฟเวอร์  ซึ่งเซิร์ฟเวอร์ก็จะทำการตรวจสอบชื่อ  และ ที่อยู่ของผู้รับอีเมล  แล้วจึงส่งอีเมลนั้นไปยังเซิร์ฟเวอร์ ของผู้รับ
         3.  ผู้รับอีเมล  หลังจากที่อีเมลของผู้ส่งได้ถูกส่งมายังเมลบ็อกซ์ของผู้รับแล้ว  อีเมลก็จะปรากฏอยู่ในเมลบ็อกซ์ จนกว่าผู้รับจะได้เปิดอ่าน  และทำการลบอีเมลนั้นทิ้งไป

ประโยชน์ของอีเมล์

1. มีความสะดวกรวดเร็ว
2. ประหยัดค่าใช้จ่าย
3. ไม่จำกัดระยะทาง
4. ไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล
5. ถ้าเราจะส่งอีเมล์ไม่ว่าจะตอนไหนก็ส่งได้ทุกเวลา
6. ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างหลากหลาย






ที่มา:http://www.krunee.com/E_learning/content142.html
ทีมา:http://mickeymous.blogspot.com/

ประโยชน์ของ ICT ด้านการทหาร

ด้านการทหารและตำรวจ

            มีการใช้คอมพิวเตอร์ด้านการทหารและตำรวจ อย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ  ในประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการทหารได้เจริญก้าวหน้าไปมากกว่า ประเทศอื่นใดในโลก    แต่ผลงานด้านนี้มักจะเป็น ผลงาน ชนิดลับสุดยอดต่าง ๆ เท่าที่พอจะ ทราบกัน  ได้แก่  การใช้คอมพิวเตอร์ในวงจรสื่อสารทหาร  ใช้ในการควบคุม ประสานงาน ด้านการท หารใช้แปลรหัสลับในงานจารกรรมระหว่างประเทศ    ใช้ในการผลิตระเบิดนิว เคลียร์  ใช้ในการทำสงครามจิตวิทยา  ใช้ในการวิจัยเตรียมทำสงครามเชื้อโรค  ใช้ในการสร้างขีปนาวุธ    และใช้ในการส่ง ดาวเทียม จารกรรม  เป็นต้น กรมตำรวจ กระทรวง มหาดไทย มีศูนย์ประมวลข่าวสารกรมตำรวจ  มีคอมพิวเตอร์ ขนาดกลางใช้ทำทะเบียนปืน ทำทะเบียนประวัติอาชญากรรม ทำให้เกิดความสะดวกต่อการสืบสวนคดีต่าง ๆ

ที่มา:http://blog.eduzones.com/moobo/78858

ประโยชน์ของ ICT ด้านธุรกิจและเศรษฐกิจ

ด้านการแพทย์และสาธารณสุข

               คอมพิวเตอร์มีบทบาทอย่างสูงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข   คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวย ความสะดวก อย่างยิ่งในด้านการแพทย์ เริ่มตั้งแต่การรักษาพยาบาล ทั่ว ๆไป โรงพยาบาลบางแห่งใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำทะเบียนคนไข้ ตลอดจนการวินิจฉัย และรักษาโรคต่าง ๆ   จากการใช้ประโยชน์ของสารนิเทศที่ได้ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขอาจเกี่ยวข้องในด้านต่อไปนี้ คือ  ด้านการ รักษาพยาบาลทั่วไป  ด้านการบริหารการแพทย์ ด้านห้องทดลอง ด้านตรวจวินิจฉัยโรค  และด้านการศึกษา และวิจัยทางการแพทย์ การใช้ข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ด้านการแพทย์และ สาธารณสุขที่สำคัญในปัจจุบันคือ ด้านวินิจฉัยโรคและด้านการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์    นักวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถค้นคว้าข้อมูลทาง การแพทย์เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เป็นการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุข อย่างไม่หยุดยั้ง  คอมพิวเตอร์มีบทบาทต่อการให้ข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรค  สำหรับทำการรักษา ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น   ในวงการแพทย์เริ่มรู้จักใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ เรียกว่า  อีเอ็มไอสแกนเนอร์  (EMI Scanner) เมื่อปี พ.ศ. 2515 เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ใช้ถ่ายภาพสมองมนุษย์เพื่อตรวจดูเนื้อ งอก  พยาธิ เลือดออกในสมองและความผิดปกติอื่น ๆ ในสมอง ต่อมาได้พัฒนาให้ถ่ายภาพหน้าตัดได้ทั่วร่างกาย เรียกชื่อว่าซีเอที (CAT-Computerized Axial Tomographic Scanner) มีวิธีการฉายแสงเป็นจังหวะไปรอบ  ๆ ร่างกายของมนุษย์ที่ต้องการ ถ่ายเอกซเรย์และเครื่องรับแสงเอ็กซเรย์ที่อยู่ตรงข้ามจะเปลี่ยนแสงเอกซเรย์ ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าไปเก็บไว้ในจาน หรือแถบแม่เหล็ก แล้ว นำสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้เข้าไปวิเคราะห์ในเครื่องคอมพิวเ ตอร์ ซึ่งเมื่อได้ผลลัพธ์ออกมาก็นำไป เก็บในส่วนความจำ และพิมพ์ภาพออกมาหรือแสดงเป็นภาพทางจอโทรทัศน์ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จึงเป็นตัวอย่าง ของการใช้คอมพิวเตอร์ในการวินิจฉัยและรักษาโรค

ด้านอุตสาหกรรม

            คอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม   โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์หุ่นยนต์ เพื่อใช้ในบ้านและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ทั้งนี้หุ่นยนต์จะเป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบการทำงานของอวัยวะ ส่วนบนของมนุษย์   ประกอบด้วยระบบทางกลของหุ่นยนต์ และระบบควบคุมหุ่นยนต์ ประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุม ซึ่งควบคุมการทำงานของ หุ่นยนต์โดยอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ นับเป็นส่วนสำคัญที่สุดของหุ่นยนต์ ระบบควบคุมนี้ทำหน้า ที่เป็นสมองเก็บข้อมูลสั่งหุ่นยนต์ ให้ทำงานตรวจสอบและควบคุมรายละเอียดของการทำงาน ให้ถูกต้อง  การประดิษฐ์หุ่นยนต์อุตสาหกรรมอำนวยประโยชน์ในการช่วยทำงานใน อุตสาหกรรมที่สำคัญคือ   งานที่ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  เช่น โรงงานยา ฆ่าแมลง โรงงานสารเคมี  ง านที่ต้องการความละเอียด ถูกต้อง และรวดเร็ว เช่น โรงงาน ทำฟันเฟืองนาฬิกา โรงงานทำเลนส์กล้องถ่ายรูป  และงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ  และ น่าเบื่อหน่าย  เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงานประกอบวงจรเบ็ดเสร็จ หรือไอซี และโรงงานทำแบตเตอรี่ เป็นต้น การประดิษฐ์สิ่งของหรือผลิตภัณฑ์บางอย่าง ในโรงงานอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างสูงต่อการ ควบคุม การผลิตสินค้าโดยไม่ต้องใช้แรงงานคนมาก    เป็นการประหยัดแรงงาน  นอกจากด้านการผลิตสินค้าแล้ว คอมพิวเตอร์ยังมีส่วนช่วยต่อการจัด ส่งสินค้า  ตามใบสั่งสินค้า การควบคุมวัสดุคงคลัง และการคิดราคาต้นทุนสินค้า เป็นต้น

ด้านเกษตรกรรม

             การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม ได้แก่ การจัดทำระบบ ข้อมูลเพื่อการเกษตร ซึ่งอาจมีทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ สำหรับระดับ นานาชาตินั้น   อาจจะเริ่มด้วย สำมะโนเกษตรนานาชาติ ซึ่งสถาบันการเกษตรระหว่างประ เทศ (International Institute of Agriculture) ได้เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2473โดยมีประเทศต่าง  ๆ ร่วมเก็บข้อมูล รวม 46 ประเทศ ต่อมาองค์การอาหารและเกษตร(FAO)  ได้ดำเนินงานต่อในปี พ.ศ. 2493 และมีประเทศต่าง ๆ ร่วมโครงการเพิ่มเติมมากขึ้น  ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ข้อมูลเพื่อเกษตรกรรมทางด้านสำมะโนเกษตร    นอกจากนี้ยังใช้คอมพิวเตอร์ช่วยทำแบบจำลอง พยากรณ์ความต้องการ พยากรณ์ผลผลิตด้าน การเกษตร เป็นต้น

ด้านการเงินการธนาคาร

            การใช้คอมพิวเตอร์ในด้านการเงินและการธนาคาร เป็นการนำคอมพิวเตอร์มา  ช่วยในงานด้านการบัญชี และด้านการบริหาร  การฝากถอนเงิน  การรับจ่าย การโอนเงิน แบบอิเล็กทรอนิกส์  การหักบัญชีอัตโนมัติ ด้านสินเชื่อ ด้านแลกเปลี่ยนเงินตรา บริการข่าว สารการธนาคาร บริการฝากถอนเงินนอกเวลาและบริการอื่น ๆ การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่ประชาชนรู้จักและใช้กันอย่างแพร่ หลาย  ได้แก่  บริการฝากถอนเงินนอกเวลา ซึ่งมีใช้กันทั้งในต่างประเทศและในประเทศ ไทย  ซึ่งเรียกชื่อว่า  บริการเงินด่วน  หรือบริการเอทีเอ็ม ( Automatic Teller Machine - ATM ) ที่ธนาคารต่าง ๆ สามารถให้บริการเงินด่วนแก่ลูกค้าได้ ทำให้เกิด ความสะดวกรวดเร็วต่อการใช้เงินในการดำเนินงานทางธุรกิจต่างๆ ได้

ด้านธุรกิจการบิน

             ธุรกิจสายการบินมีความจำเป็นต้องนำคอมพิวเตอร์มาใช้  เพื่อให้สามารถให้บริการได้รวดเร็ว  เพื่อการแข่งขันกับ สายการบินอื่น ๆ และเพื่อรักษาความปลอดภัยในการบินโดยช่วยตรวจสอบสภาพเครื่องและอุปกรณ์ได้ อย่างถูกต้องแน่นอนและสม่ำเสมอ   ธุรกิจที่มีการนำ คอมพิวเตอร์มาใช้ด้านการบิน  อาจแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ผู้โดยสาร สินค้าพัสดุภัณฑ์ และ บริการอื่น ๆ ของสายการบิน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือระบบบริการผู้โดยสาร อาจจะ เริ่มด้วยระบบบันทึกตารางการบิน ซึ่งบันทึกและเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลเที่ยวบิน เส้นทางบิน เวลาออกและเวลาถึง จำนวนที่นั่ง สารนิเทศด้านการบริการผู้โดยสารมีความสำคัญอย่างมาก  และจำเป็นต้องได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็ว  โดยปราศจากปัญหาทางด้านเวลา  และสถานที่  รายการบินต่าง ๆ จึงได้แข่งขันในการสร้างฐานข้อมูล ทางด้านนี้ บางสายการบินได้รวมตัวกัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการใช้สารนิเทศร่วมกัน

 ด้านกฎหมายและการปกครอง

             ทางด้านกฎหมายและการปกครอง มีการใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาด้านกฎหมาย  คืองานระบบข้อมูล ทางกฎหมายมีการนำสารนิเทศที่เกี่ยวข้องกับตัวบทกฎหมายทุกฉบับ รัฐธรรมนูญทุกฉบับ  กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวงประกาศต่างๆและอื่น ๆ เข้าคอมพิวเตอร์ทั้งหมด หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์จะ ช่วยในการค้นสารนิเทศทางด้านกฏหมายได้อย่างรวดเร็ว  ดังตัวอย่างในประเทศ สหรัฐอเมริกา มีการใช้คอมพิวเตอร์ระบบแอสเปน (Aspen System Corporation) ซึ่งเป็นระบบข้อมูล ทางด้านกฎหมายที่ใช้กันมากกว่า  50 แห่ง นักกฎหมายและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงได้ประโยชน์ในการ ค้นสารนิเทศในเวลา อันรวดเร็ว   โดยเฉพาะในการค้นข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น แล้ว เป็นต้น  แทนที่จะค้นจากหนังสือ ซึ่งต้องเสียเวลาเป็นอันมาก  การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการปกครอง ส่วนใหญ่ใช้ในกิจกรรมการเลือกตั้งดัง เช่นในประเทศไทย เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาล่าสุด มีการใช้คอมพิวเตอร์มาประมวล ผลข้อมูลการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนได้ทราบผลการเลือกตั้งได้อย่างรวดเร็ว

ด้านอุตสาหกรรมการพิมพ์และธุรกิจอื่น ๆ

              บทบาทของคอมพิวเตอร์ต่อธุรกิจอุตสาหกรรมการพิมพ์ในปัจจุบันมีมาก หน่วยงานทางการพิมพ์  ตลอดจนสำนักข่าวใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการจัดพิมพ์ต้นฉบับ ตรวจแก้ไข  จนกระทั่งจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ทำให้การจัดทำหนังสือพิมพ์ วารสาร และหนังสือต่าง ๆดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว และถึงมือผู้อ่านได้อย่างทันท่วงที อุตสาหกรรมการพิมพ์เป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ และเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสารนิเทศ มีรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่คนงานในประเทศ สหรัฐอเมริกากว่า 50  ล้านคน  ได้ใช้ประโยชน์จากการใช้คอมพิวเตอร์ ในการดำเนินงาน ทางธุรกิจ มีการใช้อุปกรณ์สื่อสารระบบสำนักงาน อัตโนมัติและเทคโนโลยีโทรคมนาคมอื่น ๆ ร่วมกับคอมพิวเตอร์ทำให้การดำเนินงานทาง ธุรกิจต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ไม่มีปัญหา ทางด้านระยะเวลา และสถานที่ต่อการติดต่อทางธุรกิจอีกต่อไป

ที่มา:http://blog.eduzones.com/moobo/78858